ปากกาขนนก / สกุล บุณยทัต

“โลกของธรรมชาติเป็นโลกอันพิสุทธิ์ที่กอปรด้วยความรู้สึกของการเปล่งประกายที่ล้ำลึก ทุกๆขณะ ธรรมชาติมีจุดยืนแห่งตน...เรียบง่ายและลึกซึ้งดุจบทเพลงสวดของศาสนา ชีวิตมีค่าเพียงใด...เมื่อธรรมชาติเป็นลมหายใจของคำตอบที่ทำให้ทุกๆคนก้าวย่างสู่การค้นหาความหมายที่อิ่มเอมในหัวใจทุกเวลานาที”

ผมถือเอาสิ่งที่กล่าวมาข้างต้น เป็นบริบทอันแสนสงบงามของความคิด...ความคิดที่จะสื่อกับวรรณกรรมที่ละเมียดละไมในจิตวิญญาณของการอยู่ร่วมระหว่างความรักกับตัวตนอันแท้จริงของชีวิตและสรรพสิ่ง...ความรักกับความเบิกบานใจที่หลอมรวมกันเข้าระหว่างความเข้าใจและความประทับใจในเจตนาที่เป็นความหมายของความรื่นรมย์

“ลำเนาป่า” คือเรื่องเล่าของความคิดอันเนื่องมาแต่ความรักและตัวตน...ที่ปรากฎกายอยู่ท่ามกลางความสุขแห่งธรรมชาติ..การตัดสินใจที่จะมีวิถีแห่งรักผ่านการขยายอันมีชีวิตชีวาของโลกกว้าง นับเป็นภาวะที่น่าค้นหาอย่างยิ่ง..ในมิติของผู้หญิงที่ชื่อ “ลำเนา”...จริตมายาแห่งภาพลวงตาทั้งปวง ถูกปกคลุมด้วยมโนทัศน์ที่ถ่อมสุภาพและยกย่องให้ธรรมชาติเป็นแหล่งกำเนิดที่งอกงามแห่งเมล็ดพันธุ์ของจิตใจ...ความหมายแห่งรักที่เธอได้ค้นพบเป็นภาพเปรียบเทียบเหนือจินตนาการใดใด...เป็นจุดกำเนิดของสำนึกคิดที่ตื่นตระการทางอารมณ์...การปฏิเสธความรักจาก “คนที่รัก”

การพยายามอธิบายเหตุผลของความรักด้วยท่าทีอันเป็นเสน่หาที่ผูกโยงแนบชิดกับธรรมชาติ ถือเป็นสาระที่มีค่าต่อการเรียนรู้อย่างยิ่งของ “ผู้หญิง” ในฐานะสตรีแห่งความพิลาสพิไล

“ศิเรมอร อุณหธูป”....เขียนเรื่องเล่าที่วิจิตรตระการ ด้านอารมณ์นี้ ออกมาด้วยลีลาการเขียนที่เนียนละมุน...ผมรู้สึกถึงความอ่อนโยน และกลิ่นอายที่จรุงใจนั้น ในทุกครั้งที่ได้อ่านนิยายเล่มเล็กเล่มนี้...ในฐานะผู้ชาย...ในฐานะบุรุษผู้ลุ่มหลงในวังวนของความรัก...ผมออกเดินค้นหาที่มาที่ไปในศรัทธาแห่งธรรมชาติอันไม่รู้จบ ออกค้นหาคำตอบอันชัดเจนในนัยแห่งความรัก และองค์ประกอบอันรื่นรมย์ของธรรมชาติ...ที่เต็มไปด้วยการเคลื่อนไหว...

ผมได้ค้นพบสีสันของการอยู่ร่วม และเหตุผลที่ยากเย็นของการจากลา...มีอยู่บ่อยครั้งที่ความเห็นแก่ตัวของหัวใจบังคับให้ผมต้องดื้อรั้นและไม่ยอมที่จะมองเนื้อในที่ใสสะอาดของธรรมชาติ....เหมือนอย่างที่ “ชด” คนที่รักลำเนาเป็น...

“ชด”...อาจเป็นคนเห็นแก่ตัว....ผมและผู้ชายอีกทั้งโลกก็น่าจะเป็นคนเห็นแก่ตัว...หากพวกเขาได้พบกับหญิงสาวผู้มองเห็นธรรมชาติ เป็นเนื้อในอันพิสุทธิ์งดงามของชีวิต...

“ลำเนาป่า” คือท่วงทำนองแห่งความตระหนักรู้...ท่วงทำนองแห่งการเข้าใจในวิถีแห่งธรรมชาติอันล้ำลึก..มันคือโลกเฉพาะ...โลกอันเป็นความหมายเฉพาะที่เกิดจากการพินิจพิเคราะห์ด้วยสายตาที่ลึกซึ้งจากหัวใจมากกว่าอารมณ์แห่งความเห็นแก่ตัวอันน่าเวทนาสงสารเพียงถ่ายเดียว...

“ชด” อาจมีความถูกต้องหากเราจะมองโลกด้วยสายตาที่คับแคบ ด้วยสายตาที่ปิดกั้นแห่งความเติบใหญ่...และงอกงามของธรรมชาติ ณ ที่นั้น...สายลมย่อมโบกโบยอย่างแผ่วเบา...มวลดอกไม้ย่อมผลิบาน สะเทิ้นไหว...และป่าไม้นานาพันธุ์ย่อมแต่งองค์ทรงเครื่องใหม่ ดุจกวีที่หลอมจิตวิญญาณของเขาและเธอทั้งหลายให้เป็นโศลกแห่งความทรงจำที่ไม่เคยลบเลือนไปได้...

“ผมอยู่กับลำเนาป่า”...เนิ่นนานมากในช่วงเวลาหนึ่ง...ถ่ายทอดตัวหนังสืออันเป็นรูปรอยแห่งความรักนี้...ผ่านสู่มิติแห่งภาพยนตร์ ...ประดิดประดอยสาระให้อิงแอบอยู่กับก้นบึ้งแห่งธรรมชาติ และความหมายแห่งรักอันแท้จริง..หนึ่งเดียวที่ผมสัมผัสได้คือความอิ่มเอมอันพิสุทธิ์...หอมหวานและตื่นตระการในความสุขอันเลอค่าและเป็นเนื้อแท้ ..ผมเข้าใจในความเข้าใจของ “ศิเรมอร”...สัมผัสถึงสัมผัสแห่งลำเนาและความเป็นวิถีแห่งป่าที่ไม่เคยสูญสิ้น...ทุกสิ่งปลูกสร้างขึ้นในจิตวิญญาณของเธอ...ในนวนิยายของเธอ ...ทั้งหมดทั้งมวลถูกแปลเป็นความหมายของชีวิตที่เชื่อมโยงเกาะเกี่ยวถึงความรักอันเป็นเพียงหนึ่งเดียว..เป็นความหมายที่ถูกแปลค่าให้เป็นดั่งศรัทธาของความเป็นนิรันดร์แห่งนิรันดร์..

ผมอยากให้ทุกคนได้เห็นในสิ่งที่ผมเคยได้เห็น....40ปี มาแล้วที่นวนิยายเรื่องนี้ถือกำเนิดขึ้นในบรรณพิภพ...มาถึงวันนี้ ผมจึงปรารถนาที่จะให้ผู้อ่าน...ได้มองเห็นความรักในหัวใจของตนเองที่ไม่ได้ลวงตา...ได้มองเห็นความหมายในสรรพสิ่งที่ไหวเคลื่อนในธรรมชาติอย่างรื่นรมย์และเข้าใจ...ไม่รู้จบ..

ทุกๆขณะ...ทุกๆสิ่งที่มีจิตวิญญาณอันเป็นรูปรอยที่พิสุทธิ์ ทุกๆขณะที่ “ลำเนาป่า”...คือหนทางที่เติบใหญ่แห่งเมล็ดพันธุ์ อันงอกงามที่ออกมาจากนัยชีวิตที่ไม่เคยสูญสิ้น...นัยแห่งบทเพลงของความสงบงาม...แท้จริง!

*ท่วงทำนองแห่งกวีนิพนธ์ เงียบสงบ ลำนำเพลงแห่งรัก ส่งสายตาเฉิดฉาย ทุกๆความหมายในโลกแห่งสรรพสิ่งล้วนเป็นหนึ่งเดียวเมื่อ...ธรรมชาติเกาะเกี่ยวหัวใจไว้ด้วยใจ...

“ป่าแต่งองค์ทรงเครื่องใหญ่ ห่มสไบสีโศก ตกกลางคืนก็เคลื่อนใบส่ายโยกกับลมไหว ก้านกิ่งทำเสียงล้อลมพลางกวัดไกว แล้วทิ้งใบจากก้าน...ลอยคว้างลม”