บทความพิเศษ / ทีมงานหญ้าแห้งปากคอก(ท้องถิ่น)
ในการคิดเชิงระบบ (Systematic Thinking) ที่มองภาพรวมทุกอย่างเป็นระบบ เปรียบว่าทุกสิ่งในโลกนี้ล้วนเป็น “ระบบ” (System) มีปัจจัยนำเข้า ปัจจัยนำออก และมีกระบวนการภายใน ที่แวดล้อมหรืออยู่ภายใต้สภาพแวดล้อมทั้งมวล ด้วยปัจจัยธรรมชาติ กับปัจจัยเงื่อนไขที่มนุษย์สร้างขึ้น ปัจจัยระเบียบกฎหมาย และสิ่งแวดล้อมอื่นที่เกี่ยวข้องต่างๆ เพราะในภาพรวมทั้งระบบจะมองเห็นภาพรวม (Big Picture) เป็นการมององค์รวม (Holistic view) เป็นการมองให้ครบทุกส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อขับเคลื่อนกิจกรรม การพัฒนา การแก้ไขปัญหาต่างๆ
กำลังจะพูดถึงปัญหาโลกแตก ที่ไม่รู้ว่าจะเอ่ยคำหรือขึ้นต้นคำว่าอย่างไรจึงจะเหมาะเจาะกับสถานการณ์วิกฤตที่ “ซ้ำซาก” ที่ไม่รู้จบของ อปท. เกิดแล้วเกิดอีกไม่รู้อีกกี่จบ “เป็นวิกฤติ” ซ้ำๆ เป็นวิกฤตซ้ำซ้อน “วิกฤตที่ซ้อนวิกฤติ” ตามแต่ใครจะเรียกคำไหนกัน แต่ในบริบทของคนท้องถิ่นนั้นต้องสู้ไม่ถอย เพราะ เป็นสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในพื้นที่เห็นอยู่เต็มตา
มิใช่การบ่น แต่เป็นเสียงจริงๆ จากเจ้าหน้าที่งบประมาณ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หรือปลัด อปท. (ผู้ถือระเบียบฯและผู้ปฏิบัติตามนโยบายฯ) พร้อมๆ กับเสียงผู้บริหารท้องถิ่น (ผู้ที่นำนโยบายที่หาเสียงมาแก้ไขปัญหาและพัฒนาพื้นที่ฯ) เพราะ “ในวิกฤตยังมีวิกฤติซ่อนอยู่” ซ่อนยังไงพูดไม่ออก ต้องสาธยายร่ายยาวที่มาที่ไป ขอยกกรณีศึกษา โดยเฉพาะ “ในเขตพื้นที่ อปท.แถบลุ่มน้ำเจ้าพระยาที่ถือว่าที่วิกฤตมาก” มาฟังเสียงกัน
ตัวอย่างการใช้งบประมาณ อปท.แก้ไขปัญหาน้ำท่วมทั่วไป
ก่อนอื่นมาดูการแก้ไขปัญหาทั่วไปของน้ำท่วม ปัญหาเบื้องแรกในการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมในพื้นที่ปกติ จะไม่ซับซ้อน การใช้งบประมาณจะไม่มาก มีการใช้งบกลางสำรองจ่ายในการแก้ไขปัญหาสาธารณภัย (น้ำท่วม) ก่อน เมื่อเงินหมด จึงให้งบปกติตามข้อบัญญัติงบประมาณ หรือการขอรับความช่วยเหลือจากส่วนกลาง หรือการใช้เงินสะสม และทุนสำรองเงินสะสมของ อปท.
ในการช่วยเหลือประชาชนกรณีน้ำท่วมทั่วไปนี้ อาจไม่สามารถนำมาใช้แก้ไขปัญหาได้กับกรณีพื้นที่ลุ่มน้ำแถบอยุธยาได้หมด เพราะเงินงบประมาณหมดไปแล้ว และ สภาพพื้นที่เป็นปัญหาวิกฤตซ้ำซากที่ใหญ่หลวงเกินศักยภาพของ อปท.มากๆ ต้องใช้แผนการจัดการน้ำแห่งชาติ ตามแผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ 20 ปี (พ.ศ.2561-2580) ตามพระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำ พ.ศ.2561
ขอยกตัวอย่างแนวทางสังเขปในการประสานการปฏิบัติ/แบ่งงานกันทำของ อปท.ทั่วไป
(1) ผู้ประสานงานคือ ปลัดเทศบาลในฐานะเจ้าหน้าที่งบประมาณของ อปท. ตรวจสอบงบประมาณ ด้านการช่วยเหลือประชาชน โดย ผอ. กองคลังศึกษาแนวทางปฏิบัติจัดซื้อ-จ้าง "กรณีเกิดสาธารณภัย" ตามระเบียบ มท.ว่าด้วยค่าใช้จ่ายเพื่อช่วยเหลือประชาชนตามอำนาจหน้าที่ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ.2560 พรบ.การจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 หรือ ระเบียบ กค.ว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้าง และการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ.2560 ข้อ 79 วรรคสอง ในกรณีที่มีความจำเป็นเร่งด่วนที่เกิดขึ้นโดยไม่ได้คาดหมายไว้ก่อนและไม่อาจดำเนินการตามปกติได้ทัน
(2) มีการใช้งบกลาง เงินสำรองจ่ายต่างๆ เป็นลำดับแรก หากจำเป็นต้องใช้เงินสะสม กรณีเกิดภัยพิบัติ ตามระเบียบ มท.ว่าด้วยการรับเงิน การเบิกจ่ายเงิน การฝากเงิน การเก็บรักษาเงินและการตรวจเงินขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2547 ข้อ 91
(3) ในระหว่างที่เกิดสาธารณะ หากยังต่อเนื่องไม่หยุด ต้องคอยตรวจสอบข่าวจากส่วนราชการหรือหน่วยงานอื่นๆ ด้วย เช่น กรมอุตุนิยมวิทยา ศูนย์การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและภัยพิบัติ ม.รังสิต และ มูลนิธิสภาเตือนภัยพิบัติแห่งชาติ เป็นต้น โดยบูรณาการร่วมส่วนราชการอื่นๆ เช่น สำนักปลัด กองช่าง ออกสำรวจตรวจสอบพื้นที่ เร่งช่วยเหลือประชาชน ผู้ประสบเหตุทันที โดยการระดม เครื่องมือ เครื่องจักรกล รถยนต์ เรือท้องแบน และเจ้าหน้าที่ พร้อมรายงานเหตุต่างๆ ไปอำเภอ จังหวัด ตาม พรบ.ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พ.ศ.2550 กรณีเกิดเหตุ หรือประสบเหตุในพื้นที่ ซึ่งนายกเทศมนตรี/นาย อบต. ในฐานะผู้อำนวยการท้องถิ่น มีอำนาจสั่งการ ประสานหน่วยงานอื่นๆ นำเครื่องจักร อุปกรณ์ ต่างๆ มาช่วยเหลือ และสามารถเบิกจ่ายงบประมาณได้ตามระเบียบ
(4) การประชาสัมพันธ์รายงานเป็นสิ่งจำเป็น ในการช่วยเหลือ การดำเนินการอื่นที่เกี่ยวข้องของ อปท. ประสานช่างภาพ งานประชาสัมพันธ์ บันทึกภาพเก็บข้อมูลไว้ เพื่อใช้ประกอบข้อมูล หรือการเบิกจ่ายเงินงบประมาณ และเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ หรืออื่นๆ
(5) เจ้าหน้าที่ทั้งฝ่ายการเมือง และฝ่ายประจำลงพื้นที่เพื่อสร้างขวัญ กำลังใจ สร้างภาพพจน์แก่ประชาชน หรือเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานในพื้นที่ อย่างพร้อมเพรียง สามารถให้ข่าวแก่สื่อมวลได้ในทิศทางเดียวกัน
(6) เมื่อน้ำลดแล้ว เป็นระยะการฟื้นฟูให้เร่งสำรวจความเสียต่างๆ เช่น กรณีใดช่วยเหลือเฉพาะหน้า ฉุกเฉินทันที กรณีใดช่วยเหลือเยียวยา ฟื้นฟู กรณีใดเกินขีดความสามารถ เกินศักยภาพของ อปท. ซึ่งในกรณี เยียวยา ฟื้นฟู หรือการพัฒนาคุณภาพชีวิตนั้น อปท. ต้องมีการออกประกาศ มาตรการช่วยเหลือด้วย
การแก้ไขปัญหาวิกฤตในพื้นที่ อปท.แถบลุ่มน้ำเจ้าพระยาที่ซ้ำๆหลายวิกฤติ
พื้นที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยากล่าวได้ว่าเป็นพื้นที่รับมวลน้ำมหาศาลจากภาคเหนือ แต่ก็ใช่ว่าจะต้องปล่อยให้น้ำท่วมไปได้นานๆ เพราะจะส่งผลเสียต่อระบบเศรษฐกิจการทำมาหากิน และการประกอบการธุรกิจในพื้นที่ได้
ในรอบปีงบประมาณ 2564 ที่ผ่านมา มีวิกฤตน้ำท่วม จังหวัดทางภาคกลางโดยเฉพาะจังหวัดอ่างทอง พระนครศรีอยุธยา ปทุมธานี ห้วงเวลาตั้งแต่ตุลาคม-ธันวาคมเป็นระยะเวลาถึง 3 เดือน มีการใช้งบประมาณในการช่วยเหลือประชาชน การปรับปรุงโครงสร้างขั้นพื้นฐาน การฟื้นฟู เยียวยา เศรษฐกิจ ซึ่งช่วงวิกฤติดังกล่าวมิใช่วิกฤติแรกของท้องถิ่น ที่จริงวิกฤตเริ่มเมื่อครั้งรัฐบาลมีนโยบายให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นกระตุ้นเศรษฐกิจ เพื่อให้มีการนำงบประมาณของท้องถิ่นออกมาใช้ให้มากที่สุด เพื่อการพัฒนาพื้นที่ ไม่ต้องรอเงินงบประมาณจากส่วนกลางที่รัฐบาลไม่มีเม็ดเงินงบประมาณในการอุดหนุนท้องถิ่นมากนัก โดยมีการตราระเบียบ แก้ไขระเบียบต่างๆ พร้อมมีหนังสือ มท.ซักซ้อมแจ้งเวียน ผ่อนปรนด้านสาธารณภัยให้ อปท.สามารถใช้จ่ายเงินสะสม จ่ายขาดเงินสะสมตาม อำนาจหน้าที่ให้ใช้งบประมาณจ่ายขาดง่ายขึ้นเพื่อให้ อปท.สามารถทำตาม "หน้าที่และอำนาจ" ตามที่กฎหมายจัดตั้งได้บัญญัติไว้ เป็นเทคนิคโปรยยาหอมให้ผู้บริหารท้องถิ่น (นายก อปท.) ได้ดีใจที่มีการคลายล็อกระเบียบฯ โดยเฉพาะระเบียบเกี่ยวกับการเบิกจ่าย และการใช้จ่ายเงินงบประมาณ รวมทั้งการจัดทำแผนพัฒนา การแก้ไขข้อบัญญัติงบประมาณต่างๆ ของท้องถิ่น ที่แต่เดิมนั้นมีขั้นตอนที่ยุ่งยาก ยาวนาน หรือ ไม่อยู่ในอำนาจของผู้บริหารท้องถิ่น
จากนโยบายโปรยยาหอมให้นายก อปท.ดังกล่าว ได้ผลเกินคาด ทำให้บรรดานายก อปท. รวมทั้งเจ้าหน้าที่ทั้งหลาย ทำงานง่ายขึ้น สบายใจมากขึ้น ที่จะไม่ถูกกดดันจากหน่วยตรวจสอบ เช่น สตง. ป.ป.ช. ป.ป.ท เพราะแต่เดิมนั้น อปท.มีบทบัญญัติและข้อกำหนดที่เข้มงวดมากในการใช้จ่ายงบประมาณ เช่น ต้องเป็นไปตาม "หน้าที่และอำนาจ" เท่านั้น และ "ไปตามหลักเกณฑ์ ขั้นตอน วิธีการ หรือเงื่อนไข" กล่าวคือ ตามระเบียบกฎหมาย รูปแบบขั้นตอน หรือวิธีการอันเป็นสาระสำคัญที่กำหนดไว้เท่านั้น ที่สร้างภาระความยุ่งยากแก่เจ้าหน้าที่ท้องถิ่น และผู้บริหารท้องถิ่นเป็นอย่างมาก เช่น อำนาจในการแก้ไขงบประมาณ อำนาจในการเบิกจ่าย อำนาจในการจัดซื้อจัดจ้าง (การพัสดุ) การกำหนดราคากลาง รวมถึงอำนาจในการจัดทำแผนพัฒนา การปรับปรุงแผนพัฒนาท้องถิ่น การใช้จ่ายเงินอุดหนุน การใช้จ่ายเงินสะสม ฯลฯ เป็นต้น
ด้วยข้อผ่อนปรนต่างๆ ที่ได้ปลดล็อกให้แก่ท้องถิ่น ได้ผลเกินคาด การใช้เงินงบประมาณของท้องถิ่นจึงเริ่มมีมากขึ้น เพราะการเบิกจ่ายงบประมาณต่างๆ ง่ายขึ้น รวดเร็วขึ้น ว่ากันว่า อปท.หลายๆ แห่ง โดยเฉพาะ อปท.ขนาดเล็ก "เงินหมดคลัง" ไปจนถึงการใช้ "ทุนสำรองเงินสะสม" ซึ่งเป็นเงินก้อนสุดท้ายของท้องถิ่นก็ร่อยหรอลง จะว่าไปก็เป็นผลดีในการกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ผลลบก็มีมากเช่นกัน เช่น การใช้จ่ายงบประมาณที่ไม่จำเป็น ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์โดยตรงแก่ประชาชน (สุรุ่ยสุร่าย ซ้ำซ้อน เกินจำเป็น ตั้งงบราคากลางไว้สูงเกินจริงมากฯ) มีการรั่วไหลของงบประมาณ รวมไปถึงการทุจริตคอรัปชัน เป็นต้น นี่คือวิกฤตที่ 2 ที่ตามมา
เมื่อถึงเดือนตุลาคม 2564 เกิดน้ำท่วมภาคกลาง ซึ่งพื้นที่รับน้ำจมอยู่นานตลอด 3 เดือน โดยเฉพาะ เช่น อำเภอบางบาล บางไทร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา น้ำท่วมก่อนและแห้งช้ากว่าทุกๆ พื้นที่ อปท.ต่างๆ ในพื้นที่จึงใช้เงินสำรองจ่ายเพื่อการบรรเทาความเดือดร้อนให้ประชาชน ทั้งการซ่อมแซมถนน สิ่งของ การบรรเทาทุกข์
หลังหมดน้ำท่วมต่อมาก็เจอวิกฤติซ้ำหนักเข้าไปอีกวิกฤตหนึ่งคือการระบาดซ้ำของ "โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019" หรือ โควิด-19 ที่ท้องถิ่นจะต้องจัดทำแผนการป้องกัน และควบคุม รองรับผู้ป่วย ที่ทุก อปท.ต้องทำศูนย์พักคอย CI : Community Isolation อำเภอละอย่างน้อย 1 แห่ง หรือจัด HI : Home Isolation หรือการกักตัวที่บ้าน ซึ่งเป็นหน้าที่ของ อปท.ในการป้องกัน ควบคุมและระงับโรคติดต่อ เพราะเป็นนโยบายเร่งด่วนจากส่วนกลาง อำเภอ และจังหวัด รวมทั้งมีมาตรการต่างๆ ในการแก้ไขปัญหาโควิด-19 หากมีผู้ป่วย ผู้ติดเชื้อ กลุ่มเสี่ยงต้องมีมาตรการแผนงานดำเนินการ มีการใช้อาคารต่างๆ ของ อปท. เช่น ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก (ศพด.) เป็นศูนย์พักคอย รวมทั้งให้พนักงานส่วนท้องถิ่นได้ทำงานที่บ้าน (WFH : Work From Home) พนักงานฯ มีมาตรการตามที่กระทรวงสาธารณสุขแนะนำ ตรวจโควิด-19 ทุกๆ สัปดาห์ ในวันแรกของการทำงาน การตรวจ ATK สัปดาห์แรก 2 ครั้ง ห่างกัน 3 วัน งดรวมกลุ่มและสังเกตอาการ 14 วัน กลุ่มเสี่ยงเร่งฉีดวัคซีน เป็นต้น
ตลอดจนมีการฉีดพ่นน้ำยาฆ่าเชื้อโควิด-19 ตามบ้านผู้ป่วยที่พบเจอ มีผู้ติดเชื้อจริงมากราย ติดกันทุกหลังคาเรือน ภาระต่างๆ ตกอยู่ท้องถิ่น ระยะแรกของโรคที่มีการเข้มงวดมากๆ ทำให้ประชาชนหวาดกลัว ถูกกักตัวทั้งผู้ติดเชื้อและกลุ่มเสี่ยง ผู้ป่วยที่ถูกกักตัวอยู่บ้านตลอดเวลาก็ต้องมีการแจกจ่ายถุงยังชีพ อปท.ใช้งบประมาณไปจำนวนมาก เมื่อหมดเงินสะสมก็จะให้ไปใช้ทุนสำรองเงินสะสม (เกิน 25%) ตามอำนาจของสภาท้องถิ่น ตอนนี้เชื่อเลยว่าทุกอย่าง อปท.ใช้ทุนสำรองเงินสะสมกันจนหมดเกลี้ยง นี่คือวิกฤตที่ 3
พอโควิด-19 ค่อยผ่อนปรนได้ไม่นานก็มาเจอกับน้ำเหนือบ่าไหลมาอีก ซึ่งเป็นเช่นนี้ทุกๆ ปี ที่คนแถบนี้เข้าใจดี ฝนเริ่มตกตั้งแต่เดือนเมษายน ปกติภาคกลางจังหวัดอยุธยา อ่างทอง น้ำจะท่วมประมาณเดือนตุลาคม-ธันวาคมของทุกปี แต่ปีนี้ปริมาณน้ำเริ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเพราะมีฝนตกมาตลอดประกอบพายุหลายลูกเข้ามา การปล่อยน้ำ ในเขื่อน เจ้าพระยาเมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2565 ที่ผ่านมา ปริมาณน้ำที่ปล่อยคือ 1,200 ลบ.ม.ต่อวินาที ยิ่งทำให้ อปท. ภาคกลาง โดยเฉพาะจังหวัดพระนครศรีอยุธยาที่เจอวิกฤตหนักรอบ 3
ประกอบกับช่วงโควิด-19 รัฐบาลมีมาตรการลดภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง (ภดส.) ภาษีทรัพย์สินต่างๆ แก่ประชาชนและผู้ประกอบการ ให้เก็บเพียงอัตรา 10% งดเว้น 90% จึงทำให้สถานะทางการคลังของ อปท.หลายๆ แห่งเกิดวิกฤตมากขึ้นเป็นลำดับ แม้ข่าวล่าสุดในเดือนสิงหาคมนี้ส่วนกลางได้ชดเชยรายได้ถึง 1,970 ล้านบาทแก่ กรุงเทพมหานคร (1,245 ล้าน) เมืองพัทยา เทศบาลนคร และเทศบาลเมือง จากเหตุได้รับผลกระทบลดภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเมื่อปี 2563
ท้องถิ่นต้องรับภาระความทุกข์ของประชาชนแต่การกระจายเม็ดเงินงบประมาณยังน้อยเหลือเกิน คนท้องถิ่นยังคงรับภาระหนักในทุกสถานการณ์ไม่รู้ว่า อปท.จะฝ่าวิกฤตครั้งนี้ได้หรือไม่ อย่างไร หาก ผู้บริหารประเทศไม่เหลียวแล การจัดทำงบประมาณ 2566 ของ อปท. จึงทำให้เจ้าหน้าที่งบประมาณท้องถิ่น(ปลัด อปท.) ต้องกระอักกระอ่วนใจ เพราะค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่รออยู่ข้างหน้ามีมากมาย แต่การจัดสรรงบประมาณแก่ อปท.เพิ่มขึ้นนั้นไม่มีวี่แวว น้ำก็ใกล้ถึงบันไดสำนักงาน อปท. ทุกแห่งแล้ว วิกฤตดังกล่าวจึงเป็นวิกฤตในวิกฤติ หรือ วิกฤตซ้อนที่หนักมาก วิกฤติซ้อนวิกฤตประดังประเดทับถมเข้ามา ทั้งน้ำท่วม ทั้งโควิด ทั้งรายได้ไม่เข้า ทั้งเงินสะสมหมด ทั้งเงินหมด ท้องถิ่นตายแน่
ในเขตลุ่มน้ำเจ้าพระยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ถือเป็นพื้นที่รับมวลน้ำจากเหนือมาทุกปี แต่ก็ผ่านมาทุกๆ ปี ด้วยแผนการบริหารการจัดการน้ำ เพื่อลดความเสี่ยงภัย ลดความเสียหายแก่ชาวบ้านและเอกชนผู้ประกอบการให้น้อยที่สุด เพราะที่อยุธยาต้องมีการเฝ้าระวังโบราณสถานเสี่ยงน้ำท่วมด้วย ที่ลุ่มน้ำอำเภอบางบาลมีบ่อทรายหลายแห่ง แม้ว่าการจัดทำพนังกั้นแม่น้ำที่อยุธยาจะมีข้อจำกัด ไม่อาจทำได้ เหมือนดังเช่น แถบ อำเภออินทร์บุรี สิงห์บุรี ซึ่งเป็นพื้นที่ใกล้กัน ที่ทำเป็นแนวป้องกันน้ำที่ค่อนข้างแน่นหนาได้
เพราะว่า ในการบริหารจัดการแก้ไขปัญหาทรัพยากรน้ำอย่างเป็นระบบนั้น ต้องบูรณาการในหลายๆ ส่วนราชการ ที่มีอำนาจ แต่ในการบริหารจัดการแก้ไขปัญหาทรัพยากรน้ำอย่างเป็นระบบนั้น ต้องบูรณาการในหลายๆ ส่วนราชการ ที่มีอำนาจ
นี่คือโจทย์ปัญหาที่ผู้เกี่ยวข้องต้องรับทราบ และมีมาตรการร่วมกันในการแก้ไขปัญหาอันใหญ่หลวงนี้ เสียหายที่ “แผนแม่บทจัดการน้ำของรัฐบาลก่อนหน้า” ได้ถูกยกเลิกไป และเอกชนพร้อมชาวบ้านแถบลุ่มน้ำเจ้าพระยามีการฟ้องร้องต่อศาลปกครองให้เพิกถอน ด้วยเหตุอ้างว่าไม่ได้ทำประชาพิจารณ์ ขัดรัฐธรรมนูญ แต่สูงสุด (2557) พิพากษากลับยกฟ้อง เพราะว่า แผนแม่บท ฯ เป็นเพียงการวางกรอบแนวคิด วิธีปฏิบัติฯ เท่านั้น แต่อย่างว่า หากสังคมไทยยอมรับความเห็นต่าง และร่วมมือร่วมใจการแก้ไขปัญหา ลดความขัดแย้งกันได้ คงไม่เกิดเหตุดังกล่าวขึ้น เราคนไทยต้องปกป้องรักษา “ผลประโยชน์ส่วนรวม” (Public Interest) ให้มากที่สุด ไม่ควรมีทิฐิ ละได้ละ วางได้วาง ยอมได้ยอม ร่วมได้ร่วม มันไม่ไช่วิสัยคนไทยที่จะต้องมาชนะคะคานกันให้เมื่อย ลองมาช่วยกันคิดแก้ปัญหานี้ดูก็ได้ “วิกฤติซ้อนวิกฤติ” ตามที่สาธยายข้างต้นจะแก้กันอย่างไรดี