ด้วยอานิสงส์ของการเปิดประเทศ ทำให้ทุกธุรกิจเติบโต และมีกำไรเพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดดเมื่อเทียบกับปีก่อนๆ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมโรงแรมได้เร่งวางแผน ตอกย้ำกลยุทธ์องค์กรให้แข็งแกร่ง เพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนหลังสถานการณ์โควิด-19

เติบโตเพิ่มขึ้นในทุกเซ็กเมนต์

โดย นางวัลลภา ไตรโสรัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC กล่าวว่า ผลประกอบการไตรมาส 2 ปี 2565 บริษัทมีรายได้รวมตามงบการเงิน 3,206 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 107.4 คิดเป็นกำไรสุทธิตามงบการเงิน 776 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นมากกว่าร้อยละ 100 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นผลมาจากกลยุทธ์และการเตรียมพร้อมขององค์กรรับการเปิดประเทศที่ดำเนินมาอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับการส่งเสริมการท่องเที่ยวไทยและมาตรการผ่อนคลายจากภาครัฐที่ช่วยกระตุ้นให้ประชาชนกลับมาใช้ชีวิตแบบปกติ นอกจากนี้กำไรที่เพิ่มขึ้นยังเป็นผลมาจากการเพิ่มมูลค่ายุติธรรมของทรัพย์สินของบริษัทด้วยเช่นกัน

พร้อมกันนี้ นางวัลลภา ยังกล่าวอีกว่า กลุ่มธุรกิจโรงแรมและการบริการมีการเติบโตเพิ่มขึ้นในทุกเซ็กเมนต์ โดยเฉพาะโรงแรมกลุ่มลักเซอรี่ ที่ได้รับอานิสงส์จากมาตรการเปิดประเทศอย่างเต็มรูปแบบ ทำให้มีนักท่องเที่ยวต่างชาติมาใช้บริการโรงแรมมากขึ้น และภาครัฐยังกระตุ้นการท่องเที่ยวในประเทศด้วยแคมเปญต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้รายได้ห้องพักต่อห้องที่มีทั้งหมด (RevPAR) ในไตรมาส 2/2565 เติบโตขึ้นร้อยละ 302 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า

รวมทั้งมีราคาห้องพักเฉลี่ยต่อคืน (Average Daily Rate : ADR) ที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 48 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นราคาห้องพักเฉลี่ยต่อคืนที่เพิ่มขึ้นมาเกือบใกล้เคียงกับช่วงก่อนการแพร่ระบาดโควิด-19 รวมไปถึงการเติบโตของงานประชุมสัมมนาแบบก้าวกระโดดในไตรมาส 2 ที่ผ่านมา ทำให้โรงแรมกลุ่มประชุมสัมมนาของบริษัทมีรายได้เติบโตถึงร้อยละ 407 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าเช่นกัน

ร่วมมือกับพันธมิตรระดับโลก

ทั้งนี้ นางวัลลภา กล่าวต่อว่า  AWC  ได้เดินหน้าเสริมศักยภาพให้อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไทยหลังมาตรการเปิดประเทศ ด้วยการเปิดโรงแรมมีเลีย เชียงใหม่ ซึ่งเป็นโรงแรมจากเครือมีเลียแห่งแรกในภาคเหนือเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา ทำให้จำนวนห้องพักทั้งหมดของบริษัท ในปัจจุบันรวมเป็น 5,201 ห้อง ซึ่งคิดเป็นการเติบโตถึงร้อยละ 61 จากจำนวนห้องพักก่อนเกิดสถานการณ์การแพร่ระบาด COVID-19

นอกจากนั้น บริษัทยังได้ร่วมมือกับพันธมิตรระดับโลกมากมายเพื่อเสริมความแข็งแกร่งของธุรกิจอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน อาทิ อย่างเช่น การลงนามสัญญากับเครืออินเตอร์คอนติเนนตัล โฮเต็ลส์ กรุ๊ป เพื่อพัฒนาโรงแรม คิมป์ตัน หัวหิน รีสอร์ท การลงนามกับพันธมิตรจากสาธารณรัฐประชาชนจีน เพื่อเพิ่มช่องทางการค้าส่งของ เออีซี เทรดเซ็นเตอร์ รวมถึงการร่วมจัดตั้งบริษัทร่วมทุน (Joint Venture) กับหน่วยงานด้านการลงทุนระดับโลก เพื่อลงทุนในธุรกิจโรงแรมที่มีศักยภาพในแหล่งท่องเที่ยวชั้นนำในประเทศไทย

จุดหมาย 5 แห่งได้รับความนิยมสูงสุด

ด้าน นายเดิร์ก อังเดร ลีน่า เดอ คุยเปอร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท จำกัด (มหาชน) หรือ SHR บริษัทในเครือสิงห์ เอสเตท กล่าวว่า ภายหลังจากการเปิดประเทศในเดือนกรกฎาคมมีตัวเลขจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาทะลุ 1 ล้านคน ซึ่งเป็นเดือนแรกนับตั้งแต่มีการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในปี 2563 ส่งผลให้ในเดือนดังกล่าวโรงแรม SAii Laguna Phuket มี Occupancy Rate ที่ 68% และด้วยจุดแข็งด้านที่ตั้งของโรงแรมและผลสำเร็จจากการสร้างการรับรู้ต่อแบรนด์ของบริษัท จึงมีความมั่นใจต่อแนวโน้มผลการดำเนินงานที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง จึงคาดว่าพอร์ตโรงแรมในประเทศไทยจะสามารถสร้างรายได้ที่เติบโตขึ้นเกือบ 2 เท่าตัวในช่วงครึ่งปีหลังของปี

ขณะที่ผลประกอบการครึ่งปีแรของบริษัทมีรายได้รวมอยู่ที่ 3,761 ล้านบาท เติบโตเกือบ 3 เท่าจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน มีกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และรายการที่ไม่ได้เกิดขึ้นประจำ จากการดำเนินงานปกติ (Adjusted EBITDA) ที่ 639 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลกำไรติดต่อกันเป็นไตรมาสที่ 4 ส่วนในครึ่งปีหลังน่าจะเติบโตต่อเนื่องกว่า 25% เมื่อเทียบกับครึ่งปีแรก ผลักดันรายได้ทั้งปี 2565 อยู่ที่ 8,500 ล้านบาท และก้าวสู่การเป็นผู้ประกอบธุรกิจบริหารจัดการโรงแรมที่ทำรายได้สูงสุดเป็นอันดับ 2 ของประเทศไทย โดยมีปัจจัยหลักจากการเปิดประเทศเต็มรูปแบบในทุกพอร์ตที่บริษัทดำเนินงาน

อีกทั้งบริษัทเห็นสัญญาณของ pent up demand ที่แข็งแกร่ง ประกอบกับศักยภาพของโรงแรมของบริษัทที่ตั้งอยู่ในจุดหมายทางด้านการท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมสูงสุดทั้ง 5 แห่งทั่วโลก โดยเฉพาะในประเทศไทยและมัลดีฟส์ จึงเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่าโรงแรมในทุกพอร์ตจะสามารถฟื้นตัวกลับมาได้เร็วกว่าอุตสาหกรรมอื่นๆ