ลีลาชีวิต / ทวี สุรฤทธิกุล
ถ้าชีวิตนี้พระพรหมคือผู้ลิขิต พระพรหมก็ลำเอียงมาก ๆ เพราะทุกคนสุขทุกข์ไม่เท่ากัน
ตอนที่พ่อกับแม่บังคับบุญตาให้เข้าโรงเรียน บุญตาหนีไปอยู่กับป้าที่อยู่อีกหมู่บ้านหนึ่ง พ่อออกไปตามกลับมา แม่เอากิ่งไผ่มาฟาดที่ขาของบุญตาจนลายพร้อย ฟาดไปแม่ก็ร้องไห้ไป บ่นว่าเป็นลูกผู้หญิงก็ต้องเรียนหนังสือ จะได้ไม่แพ้ผู้ชาย จะได้ไม่ลำบากเหมือนแม่ แต่เด็กหกขวบอย่างบุญตาก็ไม่เข้าใจ จนเมื่อจบการศึกษาภาคบังคับในตอนประถม 4 จึงได้รู้ซึ้งถึงคำเตือนของแม่นั้น
บุญตาไม่ชอบโรงเรียน ที่ห้องเรียนมีผู้หญิงแค่ 3 คน แต่มีผู้ชาย 15 คน บุญตาถูกพวกผู้ชายล้อเลียนว่า “บุญตู้” ตู้แปลว่าสัตว์ตัวใหญ่ ๆ ที่น่าเกลียด เช่น ควายตู้ ส่วนเด็กหญิงอีก 2 คนก็ไม่คุยกับบุญตา เพราะบุญตาตัวใหญ่กว่าทั้งสองคนนั้นมาก บุญตาจึงเหมือนถูกโดดเดี่ยว เวลาที่มีปัญหาอะไรในห้องเรียนก็ไม่รู้จะหันหน้าไปถามใครหรือคุยกับใคร ทุกวันพอพักเที่ยงก็ต้องนั่งกินข้าวในห่อเพียงคนเดียว ต้องออกมานั่งให้ห่างคนอื่น ๆ เพราะอายเพื่อน ของกินของบุญตามีแต่แจ่วกับข้าวเหนียว ผักต้มผักจิ้มอะไรก็มี บางทีพอไปนั่งใกล้ ๆ เด็กหญิงอีก 2 คน เขาก็ย้ายที่หนี มีคนหนึ่งพูดว่าเดี๋ยว “อี...ตู้” มาแย่งข้าวกิน พอตอนบ่ายที่โรงเรียนเลิก บุญตาก็รีบกลับมาบ้านเหมือนไม่อยากจะอยู่ที่นั่นและแอบร้องไห้เกือบทุกวัน แต่พอถึงวันเสาร์อาทิตย์หรือวันหยุดที่ไม่ต้องไปโรงเรียน ชีวิตของบุญตาก็เป็นอีกแบบหนึ่ง เธอจะอาสาแม่หาบข้าวและของกินออกไปนาแต่เช้า เธอจะร่าเริงทั้งวัน กระโดดโลดเต้นไปตามคันนา หลังเที่ยงอากาศร้อน ๆ ก็กระโดดลงน้ำเล่นกับ “บักด่อน” ควายเผือกที่แสนขยัน ที่ทำงานหนักมาตั้งแต่เช้าจนถึงเที่ยงของแต่วันนั้น ก่อนที่จะพามันไปกินหญ้าหลังอาบน้ำเสร็จและขี่มันกลับบ้านเข้าคอกในตอนเย็น เธอชอบเลี้ยงน้อง น้องชายสองคนที่โตไล่ ๆ กันมากับเธอก็ชอบเล่นอย่างไม่รู้เหน็ดเหนื่อย จนเมื่อทั้งสองคนนั้นได้เข้าโรงเรียน เธอก็ไม่มีเพื่อนเล่นแม้แต่ที่บ้านนั้นอีกต่อไป บางคืนเธอตื่นขึ้นมาร้องไห้กลางดึก จนแม่ที่นอนอยู่ใกล้ ๆ ต้องถามว่าละเมอหรือ เธอก็ตอบว่าสงสัยจะฟังละครวิทยุที่บ้านข้าง ๆ ชอบเปิดมากไป บางทีก็เปิดดังมากจนได้ยินเสียงตัวละครด่าทอกัน จนถึงบทโศกที่นางเอกร้องไห้ ทำให้ต้องละเมอร้องไห้เพราะอดสงสารนางเอกไม่ได้
ตอนจบประถม 4 บุญตาอายุได้ 10 ขวบ แม่บอกว่าจะพาไปเรียนต่อชั้นประถม 5 ที่โรงเรียนในตัวเมือง และได้พาบุญาตาเข้าตัวเมืองเป็นครั้งแรก โดยได้พาเธอไปถ่ายรูปสำหรับติดใบสุทธิ เพื่อเอาไปสมัครเข้าโรงเรียนใหม่ แม้ว่าหมู่บ้านที่บุญตาอาศัยอยู่จะไม่ไกลจากตัวเมืองเท่าใดนัก แต่ก็มีความเจริญแตกต่างกันมาก ในขณะที่ในหมู่บ้านเธอมีถนนลูกรังปนทรายและกลายเป็นหลุมบ่อในยามฝนตก แต่ในตัวเมืองมีแต่ถนนลาดยางมะตอยสีดำนวลราบเรียบ เรียงรายไปด้วยบ้านและตึกที่มุงด้วยสังกะสีเป็นส่วนใหญ่ มีส่วนน้อยที่มุงด้วยกระเบื้องที่มักจะเป็นสถานที่ราชการและร้านค้าใหญ่ ๆ ถนนทุกสายมีเสาไฟฟ้าเรียงราย ทุกบ้านทุกตึกมีสายไฟฟ้าเข้าถึงทุกหลัง รวมถึงมีวิทยุแทบทุกบ้าน แต่ที่น่าตื่นเต้นที่สุดก็คือ “โทรทัศน์” เจ้าจอแก้วสี่เหลี่ยมสีเขียวหม่น ๆ กว้างยาวสักด้านละ 2 คืบนั้น พอหมุนปุ่มวงกลมเหมือนหน้าปัดนาฬิกาสีดำ ๆ แล้วคอยสักพักหนึ่ง ก็จะปรากฏเสียงออกมาก่อน แล้วตามมาด้วยภาพเคลื่อนไหวสีขาวดำ บางทีเธอหยุดดูอยู่เป็นนาน จนแม่ต้องกระชากแขนเอาเธอออกมาจากหน้าร้าน จนเมื่อเธอได้เข้ามาอยู่ในเมืองและพบว่ายังมีสิ่งที่น่าตื่นเต้นยิ่งกว่านั้น คือพอค่ำลงฟ้ามืด ทุกถนนทุกบ้านทุกตึกกลับสว่างไสวด้วยแสงจากหลอดไฟฟ้า ชีวิตที่นี่ยังคึกคักไปจนดึก ต่างจากหมู่บ้านของเธอที่มีแต่ตะเกียงในตอนกลางคืน ที่ทำได้แค่แสงวอมแวมพอได้มองเห็นหน้ากันลาง ๆ แล้วก็ต้องรีบดับตะเกียงนอนแต่หัวค่ำเพื่อประหยัดน้ำมันก๊าดที่มีราคาแพง
หลังสงกรานต์ปีนั้น แม่พาบุญตาไปที่ในตัวเมืองอีกครั้ง ไปที่บ้านที่อยู่ใกล้วัดที่กลางตัวเมือง แม่บอกว่าเป็นบ้านของ “คุณนายสารวัตร” ที่แม่รู้จัก ซึ่งเธอก็ไม่ทราบว่าแม่ไปรู้จักคุณนายสารวัตรนั้นได้อย่างไร เพราะทุกวันก็เห็นแต่แม่อยู่แต่ในหมู่บ้าน ซึ่งเธอมารู้ตอนหลังว่าคุณนายสารวัตรเคยเข้ามาที่หมู่บ้าน 2-3 ครั้ง เพื่อมาหาคนไปช่วยเลี้ยงลูก ๆ ของคุณนายที่บ้าน และดูเหมือนบุญตาจะเป็นเด็กหญิงคนแรกที่แม่ของเธอได้รับปากที่จะพาลูกของตนเองให้มาทำงานตามที่คุณนายสารวัตรนั้นได้เสาะหา โดยบุญตาก็ไม่ทราบว่าพ่อกับแม่ของเธอได้ตกลงกับคุณนายสารวัตรนั้นไว้อย่างไร ทราบจากแม่ที่บอกเธอแต่เพียงว่า จะให้มาเรียนหนังสือต่อที่ในตัวเมือง โดยจะพามาอยู่กับคนที่แม่รู้จัก และให้บุญตาช่วยเขาทำงานบ้างเล็ก ๆ น้อย ๆ แลกกับความช่วยเหลือที่เขาจะให้บุญตานั้นได้เรียนหนังสือ
ปีนั้นบุญตาก็ไม่ได้เข้าโรงเรียนเพื่อเรียนต่อ ซึ่งแรก ๆ บุญตาก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไร เพราะไม่อยากจะเรียนหนังสืออยู่แล้ว ทั้งยังชอบเลี้ยงเด็กซึ่งก็คือลูก ๆ ของคุณนายสารวัตร ที่มีอยู่ 2 คน ชายหนึ่ง หญิงหนึ่ง ในอายุที่ไล่เลี่ยกับน้องชายทั้งสองของเธอ ซึ่งทำให้เธอได้เล่นของเล่นดี ๆ ได้เล่นตุ๊กตา และกินขนมอร่อย ๆ อย่างที่ในชีวิตของเธอที่ผ่านมา 10 ปีนั้นไม่เคยได้สัมผัส ทั้งยังได้ฟังวิทยุในขณะช่วยแม่ครัวทำกับข้าว ขณะซักผ้าและทำความสะอาดบ้าน รวมถึงที่ได้ดูโทรทัศน์อย่างจุใจทุกคืนที่ข้าง ๆ โซฟา ขณะที่คุณนายและลูก ๆ นั่งและนอนอยู่บนโซฟา และเธอนั่งอยู่บนพื้นพิงอยู่ข้าง ๆ โซฟา จากนั้นก็พาลูก ๆ ของคุณนายเข้านอน แล้วมานั่งดูโทรทัศน์กับคุณนายต่อจนดึก เมื่อคุณนายเข้านอนแล้ว เธอจึงจะเข้านอนได้ โดยจะต้องปิดประตูหน้าต่างและไฟฟ้าทุกดวง บางทีก็ต้องคอยเปิดประตูให้สารวัตร ที่มักจะกลับมากลางดึกจนถึงใกล้ ๆ สว่าง ที่สารวัตรมักจะบอกกับคุณนายในตอนที่ตื่นมาในตอนสาย ๆ หรือกลางวันของวันต่อมาว่า “เพิ่งออกเวร” แต่ก็มีกลิ่นเหล้าและบุหรี่คละคลุ้งมาทุกวัน รวมถึงบางวันก็ทะเลาะกับคุณนายด้วยเรื่อง “รอยลิปสติก” และ “กลิ่นน้ำหอม” จนเสียงเอ็ดอึงดังออกไปนอกบ้านอยู่บ่อย ๆ
คืนหนึ่งสารวัตรเมามาเช่นดังเคย พอบุญตาเปิดประตูรับเข้ามาก็เซล้มลงกับประตู เธอใช้ตัวโต ๆ เก้งก้างของเธอพยุงตัวสารวัตรขึ้นมา พอคุณนายได้ยินและลงมาเห็นเข้าก็เอะอะโวยวายขึ้นอีกเพราะสารวัตรเอามือลูบสะโพกของเด็กหญิง แล้วอีก 2-3 วันต่อมา แม่ก็ถูกเรียกตัวให้มาพบคุณนาย ให้พาบุญตากลับบ้าน โดยอ้างว่าบุญตายังเด็กไป ยังทำงานบ้านอย่างที่ผู้ใหญ่ต้องทำไม่ได้ เมื่อมาถึงบ้านบุญตาได้เล่าเรื่องต่าง ๆ ให้ฟัง ซึ่งพอเล่าเรื่องที่เธอถูกสารวัตรลวนลาม แม่ก็ไม่ได้แสดงอารมณ์อะไร แต่พอพูดถึงเรื่องที่ว่าเธอไม่ได้เรียนหนังสือ แม่กลับแสดงอาการโมโหโวยวาย หาว่าคุณนายโกหก และบอกบุญตาว่าจะให้ไปเรียนที่กรุงเทพฯ
ชีวิตใหม่ของบุญตาเปลี่ยนไปอีกฉากหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้ต่างจากเดิม เพราะยังต้องรับบท “คนทุกข์คนยาก” ในแบบเดิมนั้นอยู่อีก