ปากกาขนนก / สกุล บุณยทัต
“โลกของเรา ณ วันนี้ เต็มไปด้วยบาดแผลของความเจ็บปวด มันคือสิ่งที่คุมขังจิตวิญญาณอันบริสุทธิ์ของชีวิตให้ต้องตกอยู่กับคอกขังแห่งหายนะที่แสนจะอัปลักษณ์ ...ความเป็นตัวตนอันมุ่งมั่นของมนุษย์ค่อยๆถูกทุบทำลายลงด้วยทรรศนะที่แสนจะเลวร้ายจากหัวใจของผู้คนที่ทบทวีความแข็งกระด้างและหยาบช้ามากขึ้นในทุกคืนวัน...นี่คือโครงสร้างอันวิปลาส ที่บังเกิดขึ้นและดำเนินไปในนามแห่งยุคสมัย ที่ดวงใจอันงดงามของมนุษย์ต้องตกเป็นทาสของเหล่ามวลอคติที่โหดร้าย และหาเหตุหาผลอันจริงแท้ไม่ได้...”
ปฐมบทแห่งความคิดคำนึงดังกล่าวนี้ คือสาระอันสำคัญต่อภาพสะท้อนของภาพสะท้อน ที่แสดงออกมาผ่านแก่นแกนความคิดที่เป็นรากเหง้าของหนังสือที่มีคุณค่ายิ่งเล่มหนึ่ง หนังสือที่มีพลังต่อการทายท้าโชคชะตาอันผันผวน และ ดิ่งลึกต่อการรับรู้ในรู้สึกที่สั่นไหวและปรวนแปรยิ่ง...
“ชีวิตนี้เป็นของฉัน..ฉันเพียงแต่ผู้เดียว...ฉันจึงเลือกถามหาหนทางชีวิตจากคนอื่น..เพราะพวกเขาไม่เคยมาที่นี่...”
“อย่ายอม”(UNTAMED)...หนังสือที่เขียนโดย “เกลนน็อน ดอยล์” (Glennon Doyle) นักเขียนหญิงชาวอเมริกัน...เธอเป็นนักเคลื่อนไหว นักพูด และผู้นำทางความคิด เป็นผู้ก่อตั้ง “Together Rising” อันเป็นองค์กรไม่แสวงหาผลกำไรที่มีผู้นำเป็นผู้หญิงทั้งหมด ...โดยมุ่งจัดกิจกรรม เพื่อสวัสดิภาพของมนุษย์ระดับรากหญ้า เธอได้รับการเสนอชื่อให้อยู่ใน “Super Soul100” โดย “โอปรา วินฟรีย์ เน็ตเวิร์ก” (OWN Network)...เธอมีชื่อเสียงโด่งดังจากหนังสือที่ขายดีเป็นอันดับ1 ของ “New York Times”...อาทิ Love Warrior,Carry on Warrior…รวมทั้ง “Untamed” เล่มนี้..
“K.D.” แปลและถอดความรายละเอียดของหนังสือเล่มนี้ออกมาเป็นภาษาไทยอย่างประณีตบรรจง..ด้วยผัสสะแห่งเนื้อในของเรื่องที่ทั้งงดงามและให้รายละเอียด อันชวนใคร่ครวญ...
นี่คือหนังสือที่ว่ากันว่า...สามารถช่วยสร้างความรู้สึกที่หาญกล้า มีพลังใจ ในการใช้ชีวิต กระทั่งอยากสืบค้นลงไปในตัวตนของตัวเอง...เป็นมิติการเขียนที่เปิดกว้างถึงมุมมองในเรื่องเพศ สังคม ความรัก และ ความเชื่อ หนังสือแบ่งออกเป็น 3 ตอน...ด้วยข้อเขียนเชิงจิตวิทยาสังคมจำนวน 11 เรื่อง..สื่อผ่านบทตอน “กรงขัง/กุญแจ และ เป็นอิสระ..”
โดย... “เกลนน็อน” ได้ถ่ายทอดเรื่องราวแห่งชีวิตของเธอออกมา เป็นนัยแห่งตัวเองในระดับลึกที่หยั่งถึงผัสสะแห่งการมองเห็น แง่มุมทางจิตวิญญาณ...ซึ่งแท้จริงแล้ว เธอมีชีวิตที่คาบเกี่ยวกับความสมบูรณ์พร้อมที่ใครๆต่างฝันถึงมากที่สุด...แต่ในระหว่างที่ใครต่อใครล้วนชื่นชมความสำเร็จอันเป็นเหมือน...ความเป็นที่สุดของเธอนั้น...ตัวตนด้านในอันจริงแท้ของเธอกลับบิดเบี้ยว...
กระทั่งวันหนึ่ง ความสมบูรณ์แบบของเธอที่ใครๆต่างชื่นชมก็พังทลายลงในชั่วพริบตา ดั่งการถูกกะเทาะออก จนเหลือเพียงเมล็ดภายในที่อ่อนนุ่ม มันจึงเป็นดั่งเหตุแห่งผล ที่นำพาเธอให้ต้องกลับไปค้นเจอบางสิ่งบางอย่างที่ซ่อนลึกอยู่ในใจตนเอง...เธอจึงพยายามข้ามผ่านชีวิตตรงส่วนนี้ไป...เพื่อสร้างชีวิตในรูปแบบที่ตัวตนของเธอเท่านั้นที่สามารถบอกถึงความหมายได้ ...เธอเริ่มต้นด้วยการ สดับฟังเสียงเพรียกร้องจากกายร่างและหัวใจ และ มุ่งมั่นที่จะเชื่อและศรัทธาในการตื่นรู้...ดั่งนั้น..
การตื่นรู้ในโครงสร้างความคิดของเธอ คือการตระหนักถึง กรอบกรงที่คุมขังเธอไว้ในแต่ละส่วน...ซึ่งเธอก็พยามที่จะปลดปล่อยชีวิตของเธอให้เป็นอิสระ เธอกระทำมันอย่างอดทน ความพยายามนี้เหมือนการสร้างรูปรอยใหม่ให้แก่แก่นสารของชีวิต อันหมายถึง การปลดปล่อยให้สิ่งเก่าๆในชีวิตที่หมองมัวนั้นมอดไหม้ไป โดยที่เธอก็เต็มใจที่จะยอมรับ ภาวะที่แตกสลายนั้นอย่างเต็มใจ..
ประเด็นการอธิบายถึงการต่อสู้กับภาวการณ์เปลี่ยนแปลงภายในตัวตนด้วยอารมณ์ที่คนส่วนใหญ่พยายามจะหลีกหนี..แต่เธอกลับมองไปในทางตรงข้าม..เธอคิดว่า...อะไรก็ตามที่มีโอกาสทำลายหรือทำร้ายเรา ...สิ่งนั้นกลับจะส่งมอบตัวตนบางอย่างให้แก่เราเสมอ...เหตุนี้เราทุกคนจึงสมควรที่จะมองสิ่งนั้นให้เหมือนกับ กริ่งประตูบ้าน เชื้อเชิญให้เราเปิดประตูเพื่อจะดูว่า...ใครคือผู้มาที่นั่น...ทั้งนี้ก็เพราะว่า มันอาจจะเป็น”ห่อของขวัญ”บางอย่างที่บรรจุคำตอบของการตื่นรู้ภายในตัวเองของเราเอาไว้..
ยิ่งไปกว่านั้น...ประเด็นการอธิบายถึงความรักอย่างเห็นภาพลักษณ์อันกระจ่างแจ้งที่ว่า...ความรักนั้นหาใช่สิ่งจำกัดที่ตกอยู่ในรูปทรงของภาชนะ ที่โลกปั้นหรือ ปรุงแต่งขึ้นมา แล้วตีตรามันไว้ จริงๆแล้วความคิดในส่วนนี้ ยังฟังดูสับสนในตัวเอง มันจึงเท่ากับว่าเราจำเป็นต้องขุดลึกลงไปพิสูจน์ความรู้สึกภายในของตนเองให้มากยิ่งขึ้น..
ที่สุดแล้ว...วิถีแห่งการบ่มเพาะตัวเองในความเป็นมนุษย์คนใหม่ เพื่อการใช้ชีวิตบนโลกใบนี้ ผ่านการดำรงอยู่ของลูกๆ...เธอได้มีวิธีการสอนสั่งให้แก่ทั้งลูกชายและลูกสาวในการใช้ชีวิตด้วยเจตจำนงบริสุทธิ์ ที่น่ารับรู้อย่างพินิจพิเคราะห์และลึกซึ้งยิ่ง...
สาระความคิดของ “เกลนน็อน” ในแต่ละช่วงชีวิต ก่อเกิดความรู้สึกต่อการจัดการกับชีวิตอย่างถ่องแท้และหาญกล้า...กล้าที่จะกระทำและกล้าที่จะจินตนาการ...โดยเปลี่ยนบริบทของการกระทำจากการคิดว่า “มันน่าจะเป็นแบบนี้” มาเป็น “ต้องทำแบบนี้..” หรือ.. “จงนิ่งและเรียนรู้” ด้วยการหยุดและเฝ้ามองตนเอง...คำตอบต่างๆที่เราปรารถนานั้น อยู่ใกล้แค่ลมหายใจเข้าออกเท่านั้น.../รวมทั้ง “จงรู้สึกในทุกสิ่งทุกอย่าง”..แม้ว่าความรู้สึกนั้นจะทำให้เราเจ็บปวด...แต่ความเจ็บปวดในแต่ละครั้งก็จะนำเรา ไปสู่ความเปลี่ยนแปลงนานา...
นอกจากนี้..เธอยังตอกย้ำอย่างซ้ำๆว่า...โดยเนื้อแท้ที่เป็นจริง.. “ความกล้าหาญคือการทำตามเสียงจากภายในตนเอง”...ซึ่งความหมายแห่งความคิดนี้ ได้ส่งผลต่อการก้าวย่างที่แข็งแกร่งภายใต้สภาวะแห่งใจที่ตระหนักรู้...
ทั้งหมดคือ ...การปลูกสร้างสิ่งใหม่ๆ...เชื่อถือในเรื่องใหม่ๆ กระทำการในสิ่งใหม่ๆ กระทั่ง ก่อเกิดสภาวะแห่งการละทิ้งสิ่งเดิมๆจากเรื่องเดิมๆที่เคยเชื่อมั่นมาโดยตลอด..
การก่อเกิดสำนึกแห่งการรับรู้ในเบ้าหลอมแห่งความมีความเป็นในสถานะของชีวิต ของหนังสือแห่งประสบการณ์นิยมเล่มนี้...ถือเป็นการตรวจสอบทางจิตวิญญาณต่อ ...อุปสรรคที่ครอบงำชีวิตอย่างติดตรึงโดยไม่รู้ตัว...เพียงใส่ใจในลมหายใจแห่งจิตวิญญาณของตัวตนแห่งตนสักนิด...เราจะเข้าใจ...!
“ตัวตนของฉันไม่ได้หายไปจากโลกนี้เสียทั้งหมด..ประกายไฟยังคงอยู่ในตัวฉันเสมอ คุกรุ่น แต่ที่แน่ๆ ฉันรู้สึกเหมือนตัวเองหายไปนานมาก “โรคบูลีเมีย” ที่ฉันเป็นตอนเด็ก..ทำให้ฉันติดเหล้ายา ฉันอยู่ในสภาพเย็นชาไร้ความรู้สึกมา 15 ปี..จากนั้นพอฉันตั้งครรภ์เมื่ออายุ 25...ฉันก็เลิกเหล้าได้..การอยู่ในสภาวะไม่เมา ทำให้ฉันเริ่มจดจำตัวตน..ที่แท้จริงของตัวเองขึ้นมาได้...”
การป่วยไข้ทำให้เส้นทางชีวิตของ “เกลนน็อน” แปรเปลี่ยน เธอต้องเยียวยาตนเองผ่านวิจารณญาณของสัญชาตญาณ...ความยากลำบากจากสถานะอันชวนขื่นขมนี้...ทำให้เกิดการวินิจฉัยขึ้นในใจของเธอ...เธอเพียรพยายามที่จะสร้างชีวิตใหม่..ในแบบอย่างที่เธอมั่นใจและเชื่อว่า...ผู้หญิงควรจะเป็น..ซึ่งมันได้ส่งผลลัพธ์ต่อบันทึกแห่งชีวิตอันล้ำค่าของเธอในที่สุด...
“เรื่องมันเป็นแบบนี้...ฉันเริ่มต้นสร้างชีวิตตามแบบที่เชื่อว่า...ผู้หญิงควรจะเป็น..ฉันเป็นภรรยาที่ดี เป็นนักเขียนที่ดี เป็นแม่ที่ดี..เป็นพลเมืองที่ดี เป็นคริสต์ศาสนิกชนที่ดี และ เป็นผู้หญิงที่ดี../แต่ในขณะที่ฉันทำอาหารกลางวันให้เด็กๆหิ้วไปโรงเรียน เขียนหนังสือบันทึกความทรงจำของตัวเอง...รีบเร่งไปสนามบิน พูดคุยทักทายเพื่อนบ้าน และดำเนินชีวิตไปเรื่อยๆ ข้างในฉันรู้สึกถึงความกระสับกระส่าย ที่เหมือนกระแสไฟฟ้าพลุ่งพล่านอยู่ภายใน..มันเหมือนกับพายุที่ร้องครืนๆอยู่ “ข้างในตัว” ใต้ผิวของฉัน พายุที่มีทั้งความสุข ความเจ็บปวด ความโกรธ ความปรารถนาและโหยหา ความรักที่ลึกซึ้ง ร้อนแรง และ นุ่มนวลเกินไปสำหรับโลกนี้...ฉันรู้สึกเหมือนน้ำที่กำลังเดือดปุดๆ...พร้อมเสมอที่จะพลุ่งพล่านขึ้นมาได้ทุกเวลา...”
“เกลนน็อน”...ดั่งใช้ภาษาใจบรรยายถึงความรู้สึก...ที่มีนิยามความหมายที่ต้องเผชิญหน้ากับความทุกข์และกดดันภายใน..ปะทุอารมณ์ของเธอคือส่วนสำคัญที่สื่อให้เห็นบาดแผลของชะตาชีวิต แฝงฝังไว้ด้วยความน่ากลัวที่อาจเกิดขึ้นได้กับหัวใจของชีวิตทุกเมื่อ...มันเปรียบดั่งพลังแห่งการทำลายชีวิต..
“ฉันกลัวสิ่งที่อยู่ภายในตัวฉัน..ไม่ว่ามันจะเป็นอะไรก็ตาม..ฉันรู้สึกว่ามันมีพลังมากพอที่จะทำลายชีวิตสวยงาม ที่ฉันสร้างเอาไว้แบบไม่เหลือซาก เหมือนอย่างการที่ฉันไม่กล้ายืนอยู่บนระเบียง เพราะฉันมักจะคิดว่า...ถ้าฉันกระโดดลงไปล่ะ..ไม่เป็นไรฉันบอกตนเอง ฉันทำให้ตัวเองปลอดภัย ทำให้คนรอบข้างฉันปลอดภัย ด้วยการเก็บซ่อนสิ่งเหล่านั้นที่อยู่ภายในตัวฉันไว้ให้มิดชิด...”
ความทบซ้อนของความรู้สึกขยายตัวตนของ”เกลนน็อน”ให้เห็นได้ชัดขึ้น...ผ่านจากความเด็ดเดี่ยวไปสู่จุดเดือดแห่ง...รอยอำพรางของสัญชาตญาณ...อีกครั้ง...และ อีกครั้ง...
“ฉันประหลาดใจมาก ที่มันทำได้ง่ายๆ ภายในของฉันเต็มไปด้วย สายฟ้าฟาดที่เปี่ยมพลัง...น้ำที่กำลังเดือดปุดๆ..สีแดงและสีทองที่ดุเดือด แต่แค่ฉันยิ้ม...
พยักหน้าเออออ... โลกทั้งใบก็จะมองว่าฉันมีความสุข...สบายและสงบ..ฉันเคยสงสัยว่าคนอื่นเขาใช้ผิวหนังของตัวเองห่อหุ้มความรู้สึก..ภายในเอาไว้เหมือนฉันไหม..บางทีคนเราทุกคนก็ต่างเป็นไฟที่ห่อไว้ด้วยผิวหนัง...เพื่อพยายามทำตัวให้ดูเยือกเย็นสุขุม...”
“อย่ายอม”(UNTAMED)...ถือเป็นหนังสือแห่งยุคสมัยที่สมควรแก่การอ่านอย่างยิ่ง....เลือดเนื้อแห่งนิยามความคิดที่ปรากฏอยู่ในทุกบทตอน ล้วนคือพลังสร้างสรรค์ทางความคิด ที่ลึกซึ้งต่อบทจรของการปลุกเร้าความคิด ...พลังอันเฉียบคมจากนัยรู้สึกที่กลืนกลายของผู้หญิงคือ...รอยประทับแห่งการบดขยี้ลงไปสู่จุดกำเนิดของโชคชะตาอันติดยึด และถูกกักขัง อยู่ในวังวนของมวลมายาคติ...
หนังสือเล่มหนึ่ง...สามารถสร้างคุณค่าอันอเนกอนันต์แก่ผู้อ่านได้...ในทุกๆแง่มุม ...ก็ด้วยจักรวาลทางความคิดที่เจ้าของความคิดนั้นได้เผชิญ...ในจังหวะเวลาที่มีทั้งทุกข์และสุข...การมองเห็นที่มองเห็นในนิยามความหมายต่างๆที่ได้กล่าวอ้างถึงนั้น..นับเป็นเสียงสะท้อนอันทรงภูมิของหัวใจ ที่ได้กลั่นความหวังของการมีชีวิตอยู่ออกมา...ทั้งด้วยจินตนาการ...ความจริงของความรู้สึก กระทั่งการหยั่งรู้ส่วนตัว...แห่งความเป็นตัวตน...อันเป็นที่สุด...
“ฉันสร้างชีวิตของฉันในแบบของตัวเอง...ด้วยการปลุกตัวตนในส่วนที่ถูกพร่ำสอน ว่า..ไม่ควรเชื่อถือ ควรนำไปซ่อน ละทิ้งไป เพื่อให้คนอื่นพอใจ
สิ่งเหล่านั้นคืออารมณ์ความรู้สึกของฉัน...ความหยั่งรู้ของฉัน..จินตนาการของฉัน...ความกล้าหาญของฉัน ทั้งหมดนี้คือตัวตนที่เราเป็น...
เรากล้าหาญพอที่จะปลดล็อกให้ตัวเองไหม...เรากล้าหาญพอที่จะปลดปล่อยตัวเองให้เป็นอิสระหรือไม่..ในที่สุด...เรากล้าไหมที่จะเดินออกจากกรง และบอกกับตัวเอง...บอกกับผู้คน และบอกกับโลกนี้ว่า.. “ฉันอยู่นี่ไง!”....”