ที่ศาลอาญามีนบุรี เมื่อวันที่ 17 ส.ค.65 ศาลฯอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในคดีหมายเลขดำที่ 1992/2558 คดีหมายเลขแดงที่ 10098/2561 ระหว่าง พนักงานอัยการ สำนักงานอัยการสูงสุด โจทก์ กับนายทรงกลด ศรีประสงค์ กับพวกรวม 14 คน จำเลย สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบังกับพวกรวม 3 คน โจทก์ร่วม ในข้อหาความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ ความผิดเกี่ยวกับเอกสาร ลักทรัพย์ และความผิดต่อ พระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายหมาย อาญา มาตรา 83, 147, 157, 264, 265, 266, 268, 335 พระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์กรหรือ หน่วยงานของภาครัฐ พ.ศ.2502 มาตรา 4, 8 พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 มาตรา 5, 10, 60 ให้จำเลยทั้งสิบสี่ร่วมกันชดใช้เงิน 950,588,653.22 บาท ให้แก่โจทก์ร่วมที่ 1 และที่ 2 ให้จำเลยทั้งสิบสี่ ร่วมกันชดใช้เงิน80,000,000 บาท แก่โจทก์ร่วมที่ 1 และที่ 3 ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) และนับโทษต่อ

จากกรณีเมื่อระหว่างวันที่ 25 มิ.ย.- 12 พ.ย.55 ต่อเนื่องในปี 2557 พวกจำเลยได้ร่วมกันยักยอกทรัพย์เบียดบังทรัพย์ 689 ล้านบาทเศษ ของ สจล.ไปเป็นของตนเองหรือผู้อื่นโดยทุจริต และยังร่วมกันฟอกเงิน303 ล้านบาทเศษด้วย ซึ่งจำเลยทั้งหมดให้การปฏิเสธ

วันนี้ ผู้รับมอบอำนาจโจทก์ร่วม ทนายโจทก์ร่วม จำเลยที่ 4-11 ,13-14 มาศาล ส่วนจำเลยที่ 1 จำเลยที่12 ฟังการพิจารณาผ่านระบบการประชุมทางจอภาพจากเรือนจำกลางคลองเปรม โดยมีนักทัณฑวิทยาปฏิบัติการ เป็นสักขีพยาน ส่วนจำเลยที่ 2 ปรากฏตัวผ่านจอภาพจาก โรงพยาบาลราชทัณฑ์ โดยมีทัณฑสถานโรงพยาบาล ราชทัณฑ์ เป็นสักขีพยาน ตลอดการอ่านคำพิพากษา และจำเลยที่ 3 ปรากฏตัวผ่านจอภาพจาก เรือนจำพิเศษกรุงเทพ โดยมีเจ้าพนักงานราชทัณฑ์ปฏิบัติงาน เป็นสักขีพยาน

ศาลอาญามีนบุรีมีคำพิพากษาให้จำคุกจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 คนละ 50 ปี และให้ร่วมกันชดใช้เงินจำเลยที่ 3 จำคุก 9 ปี จำเลยที่ 4 จำคุก 4 ปี 6 เดือน จำเลยที่ 6 จำคุก 13 ปี 6 เดือน จำเลยที่ 7 จำคุก 9 ปีจำเลยที่ 10 จำคุก 24 ปี 9 เดือน และให้ร่วมกันชดใช้เงิน จำเลยที่ 11 จำคุก 9 ปี จำเลยที่ 12 จำคุก 20 ปีจำเลยที่ 13 จำคุก 4 ปี 6 เดือน จำเลยที่ 14 จำคุก 4 ปี 6 เดือน ยกฟ้องจำเลยที่ 5 ที่ 8 และ ที่ 9 และนับโทษต่อ

ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือเเล้วพิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 7 ที่ 10 ที่ 13 และที่ 14 นอกจากที่แก้ ให้เป็นไปตามคําพิพากษาศาลชั้นต้น

สำหรับจำเลยที่ 1-3 ,6,12 ได้แถลงต่อศาล ขอให้ออกหมายจำคุกคดีถึงที่สุดในวันนี้ ศาลอนุญาตให้ออกหมายจำคุกถึงที่สุด

นายสงกรานต์ อัจฉริยะทรัพย์ ทนายความเปิดเผยว่า คดีนี้ มีข้อพิรุธตั้งแต่เริ่มต้น เนื่องจากเงินของสถาบันการศึกษาถูกยักยอกไปก่อนที่นายถวิลจะมาดำรงตำแหน่งอธิการบดี แต่กลับโยนความผิดให้กับนายถวิลกล่าวหาว่า เป็นผู้ยักยอกคนเดียวทั้งหมด ซึ่งคดีนี้มีข้อพิรุธหลายกรณี เช่น การมอบอำนาจให้นักการภารโรงทำหน้าที่ในการเบิกจ่ายเงินจำนวน 150 ล้านบาท ของสถาบันการศึกษา ซึ่งเป็นเรื่องที่ผิดปกติ

ดังนั้น จึงเรียกร้องให้ตำรวจสอบสวนกลาง รวมทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้ามารับผิดชอบในการสอบสวนดำเนินคดีเพิ่มเติมเนื่องจากเชื่อว่ายังมีผู้ที่เกี่ยวข้องกับการกระทำผิดอีกหลายคน

ส่วนการเรียกร้องความเป็นธรรม นายถวิล อยู่ระหว่างการพิจารณาสำนวนคดีและคำเบิกความคดีนี้ เพื่อประกอบการยื่นคำร้องตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป

ขณะที่นายภาดา จำเลยที่ 8 ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนยกฟ้อง เปิดเผยว่า มอบหมายให้ทนายความรวบรวมพยานหลักฐาน เพื่อฟ้องร้องเอาผิดกลับ ผู้ที่เกี่ยวข้องในการกล่าวหาทุกคน เพราะที่ผ่านมาชีวิตและการทำงาน ได้รับผลกระทบจากการกล่าวหาว่า มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีทุจริตนี้ ซึ่งวันนี้ผ่านมา 4 ปี 8 เดือน ถือว่าตัวเองเป็นผู้บริสุทธิ์และได้รับความเป็นธรรมจากกระบวนการยุติธรรมแล้ว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับรายชื่อ จำเลยทั้งหมดประกอบด้วย นายทรงกลด ศรีประสงค์ อดีตผู้จัดการธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) สาขาบิ๊กซีสุวินทวงศ์ จำเลยที่ 1, น.ส.อำพร น้อยสัมฤทธิ์ ผอ.ส่วนการคลัง สจล. จำเลยที่ 2 , นายพูนศักดิ์ บุญสวัสดิ์ จำเลยที่ 3, น.ส. จันทร์จิรา โสประดิษฐ์ จำเลยที่ 4 , นายสมบัติ โสประดิษฐ์ จำเลยที่ 5 , นางระดม มัทธุจัด ที่ 6 , นายจริวัฒน์ สหพรอุดมการณ์ ที่ 7, นายภาดาบัวขาว ที่ 8 , นายถวิล พึ่งมา อายุ 64 ปี อดีตอธก.สจล.ที่ 9 , นายสรรพสิทธิ์ ลิ่มนรรัตน์ อดีตผช.อธก. ที่10 , นายสลุต ราชบุรี ที่ 11 , นายกิตติศักดิ์ มัทธุจัด ที่ 12 , นายสมพงษ์ สหพรอุดมการณ์ ที่ 13 และนายธวัชชัย ยิ้มเจริญ ที่ 14