เมื่อวันที่ 10 ส.ค.65 นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร(กทม.)  เปิดเผยถึงกรณีการเก็บค่าโดยสารรถไฟฟ้าสายสีเขียว ในส่วนต่อขยายที่ 2 ช่วง แบริ่ง-สมุทรปราการ และ หมอชิต-สะพานใหม่-คูคต ว่าจะมีการเซ็นประกาศเก็บค่าโดยสารภายใน 2 สัปดาห์ข้างหน้า โดยเก็บค่าโดยสารอัตราสูงสุดอยู่ที่ 59 บาทตลอดสาย คาดว่าจะเริ่มเก็บค่าโดยสารได้ช่วงปลายเดือนกันยายน 2565

อย่างไรก็ตามต้องมีการพูดคุยกับทางเอกชนเรื่องการเก็บค่าแรกเข้า ว่ารายได้ตรงนี้เข้าทางเอกชน หรือทางบริษัท กรุงเทพธนาคม จำกัด (เคที) เช่น ขึ้นจากสถานีคูคต ซึ่งอยู่ในส่วนต่อขยายที่ 2 ลงปลายทางที่สถานีสยาม ซึ่งเป็นส่วนของสัมปทานเดิม ถ้าค่าแรกเข้าจ่ายให้กับทางเอกชน กรุงเทพธนาคมก็จะไม่ได้รับรายได้ตรงนี้ ซึ่งต้องมีการเจรจา เพราะตามหลักการรายได้ค่าแรกเข้าต้องเก็บที่สถานีต้นทาง

ทั้งนี้ได้มอบหมายให้ รศ.ดร.วิศณุ ทรัพย์สมพล รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครเป็นผู้เจรจา ส่วนต่อขยายที่ 2 กทม.จ่ายค่าจ้างเดินรถปีละ 5,000 ล้านบาท ซึ่งถ้าไม่ได้รายได้ค่าแรกเข้า ก็ยากที่คุ้มทุน สุดท้ายต้องมีการชดเชย ต้องพยายามหารายได้จากตรงนี้มากที่สุด

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กทม.เตรียมนัดเจรจากับ บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด หรือ บีทีเอสซี ในการยกเว้นค่าแรกเข้าระบบเส้นทางหลักหรือเส้นทางให้สัมปทานที่เรียกเก็บเพิ่ม 16 บาท สามารถทำได้หรือไม่ หาก บริษัทฯ ไม่ยินยอม กทม.จะต้องอุดหนุนงบประมาณในส่วนค่าแรกเข้าแทนผู้ใช้บริการ เมื่อได้ข้อสรุปจะเสนอเข้าที่ประชุม สภา กทม.เพื่อขอความเห็นชอบ จากนั้น กทม.จะออกประกาศกรุงเทพมหานคร เรื่องกำหนดค่าโดยสารโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว แจ้งให้ประชาชนทราบล่วงหน้า คาดว่าจะเริ่มเก็บค่าโดยสารรถไฟฟ้าส่วนต่อขยาย ส่วนที่2 ภายในกลางเดือน ก.ย. นี้

ทั้งนี้กทม.กับสภา กทม.จะตั้งคณะทำงาน เพื่อพิจารณาร่างสัญญาสัมปทานโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ตามคำสั่ง คสช. มาตรา 44 เพื่อขยายสัญญาสัมปทานให้กับ บริษัท บีทีเอสซี ออกไปอีก 30 ปี (2572-2602) หลังจากครบอายุสัมปทาน ทางสภา กทม.จะมีความเห็นอย่างไร หากเห็นชอบก็ให้ดำเนินตามนั้น ส่วนถ้าไม่เห็นชอบก็จะนำเรื่องกลับมาพิจารณาทบทวนใหม่ว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป ซึ่งมีหลายรูปแบบ อาทิ เปิดสัมทปานใหม่ ตาม พ.ร.บ.เอกชนร่วมทุน หรือใช้วิธีการจ้างเอกชนเดินรถ คงต้องทำให้รอบครอบ เนื่องจากยังมีเวลาพิจารณาก่อนจะหมดสัมปทานปี 2572