นายกุลิศ  สมบัติศิริ ปลัดกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี​มีความเป็นห่วงผลกระทบประชาชนจากการปรับขึ้นค่าไฟฟ้าผันแปร หรือ ค่าไฟฟ้าเอฟทีงวดใหม่(ก.ย.-ธ.ค.65)​ในอัตรา 93.43 สตางค์ต่อหน่วยและสั่งการให้กระทรวงฯหาแนวทางการช่วยเหลือกลุ่มที่ได้รับผลกระทบ โดยเฉพาะกลุ่มผู้มีรายได้น้อย ซึ่งกระทรวงพลังงานกำลังหารือกับ กกพ.เพื่อกำหนดมาตรการช่วยเหลือว่า จะมีลักษณะอย่างไรถึงจะเหมาะสม เพราะอัตราที่ปรับขึ้นค่อนข้างสูงกระทบทุกภาคส่วนโดยต้องดูแหล่งที่มาของเงินอุดหนุนว่าจะใช้งบประมาณหรือใข้เงินจากแหล่งไหน 

นอกจากนี้ยังต้องหาแนวทางแก้ปัญหาภาระหนี้ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยที่เข้ามาช่วยอุดหนุนค่าไฟฟ้าด้วยการรับภาระค่าเชื้อเพลิงเอฟทีตั้งแต่เดือน ก.ย64-ส.ค.65 มูลค่าสูงราว 1 แสนล้านบาท โดยคงต้องหาดูรูปแบบการช่วยเหลือว่าจะเป็นอย่างไร โดย กฟผ.จำเป็นต้องใช้เงินกู้ เพื่อเสริมสภาพคล่อง แต่สุดท้ายแล้วประชาชนจะทยอยจ่ายคืนเงิน กฟผ.อย่างไร

สำหรับความเป็นไปได้ที่จะทบทวนค่าไฟฟ้าเอฟทีตามมติคณะกรรมการ กกพ.จากที่ให้ปรับขึึ้นเป็น 93.43 สต./หน่วยทำได้หรือไม่นั้น คงต้องหารือกับ กกพ.โดยก่อนหน้านี้ยืนยันว่าทำไม่ได้ เพราะมีกฏหมายกำหนดไว้ ซึ่ง กกพ.คงเห็นแล้วว่า ถึงเวลาที่ที่ต้องปรับขึ้น ประเด็นหลักที่นายกฯเป็นห่วงคือผลกระทบกับประชาชน ต้องหาทางช่วยเหลือ

นายกุลิศ กล่าวถึงกรณีการแก้ปัญหาภาวะการขาดแคลนเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้าที่เป็นอีกปัจจัยหนึ่งทีส่งผลมายังค่าไฟฟ้าว่า ขณะนี้ได้เร่งรัดให้ทุกฝ่ายเร่งผลิตและจัดหาทั้งในและต่างประเทศ ยืนยันว่าไฟฟ้าไม่ขาดแนนอน ขณะที่ บมจ.ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม(ปตท.สผ.)​ กำลังเร่งผลิตในแหล่งก๊าซธรรมชาติเอราวัณ  โดยใช้เครื่องมือและเทคโนโลยีซึ่งจะทำให้กำลังการผลิตก๊าซฯเพิ่มจากช่วงส่งมอบพื้นที่เมื่อเม.ย.65 ที่ 300 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวันเพิ่มเป็น 500 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวันในสิ้นปีนี้ และปตท.สผ.ยืนยันจะผลิตได้ 800 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวันในปี 2567 หากเพิ่มขึ้นได้ตามแผนจะส่งผลทำให้ค่าไฟฟ้าถูกลง