คะแนนโหวต ไม่ไว้วางใจ ในสภา ยังคงคาใจ “บิ๊กป๊อก” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา น้องรอง เจ้าของเก้าอี้ มท.1 ไม่น้อย แม้จะผ่านศึกฯ แต่ ก็แบบไม่สมศักดิ์ศรี 1 ใน 3 ป. แถม มีคะแนนไม่ไว้วางใจ มากที่สุด

ทำไมพี่ใหญ่ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ที่เป็นหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ กลับปล่อยให้ 6 ส.ส.สมุทรปราการ โหวตไม่ไว้วางใจ พล.อ.อนุพงษ์ แถมขยี้ซ้ำ ด้วยการออกมา สนับสนุนให้ พล.อ.ประวิตร เป็น รมว.มหาดไทยแทน

และยังถูกบี้ ด้วย “กราบ” ของ  กรุง ศรีวิไล ในวันที่ พล.อ.ประวิตร ไปเยือนถึงถิ่น ทั้งยังไป รับปากจะให้ เก้าอี้ รมต. หากมีการปรับ ครม. แทนที่จะลงโทษ ที่โหวตสวนมติพรรค พปชร.

ใครเป็น พล.อ.อนุพงษ์ ต่อให้อยู่ด้วยกันมา ค่อนชีวิต กว่า 50 ปี ก็ตาม ก็อดที่จะหวาดระแวง พี่ใหญ่ ไม่ได้

ประกอบกับ ท่าทีของ พล.อ.ประวิตร ก็ไม่ปฏิเสธ แรงหนุน ให้นั่ง มท.1 เพื่อนำทัพ พปชร. สู้เลือกตั้ง อาจเรียกได้ว่า แบะท่า พร้อมนั่งด้วยคำว่า “แล้วแต่นายกฯ”

จากที่ครั้งก่อนๆ ที่เคยมีแรงเชียร์ แบบนี้ พล.อ.ประวิตร ปฏิเสธ อย่างแข็งขันว่า “ไม่จริง ไม่ปรับไม่เปลี่ยน ผมไม่แย่งน้องหรอก”

แต่อย่าลืมว่า ระหว่าง พล.อ.ประวิตร แม้จะเป็นพี่ใหญ่ กับ พล.อ.อนุพงษ์นั้น “น้องตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี รักใคร่ สนิทสนม พี่ป๊อกมากกว่า  เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมา พล.อ.อนุพงษ์ ทำหน้าที่ กุนซือ และมีอิทธิพลต่อ นายกฯ มากกว่า พล.อ.ประวิตร เป็นเพราะ พล.อ.อนุพงษ์ และ พล.อ.ประยุทธ์ เติบโตด้วยกันมา ใน ร.21 รอ.  อยู่ด้วยกันตลอด  แม้จะอยู่บ้านบิ๊กป้อม หลังเดียวกัน 3 พี่น้อง จนเป็นที่มาของ สายสัมพันธ์แผงอำนาจ 3 ป. นั่นเอง

แต่ทว่า สำหรับพล.อ.อนุพงษ์ และ พล.อ.ประยุทธ์ นั้น ใกล้ชิดกันมากกว่า เพราะรุ่นใกล้กัน คือ ตท.10 กับ ตท.12 และ รับตำแหน่งต่อกันตลอด ตั้งแต่เป็นนายร้อย จนเป็น ผู้พัน ผู้การกรม และขึ้น ผบ.พล.ร.2 รอ. และ แม่ทัพภาค1 เพราะ พล.อ.ประวิตร นั้น ไม่ได้เป็น ผู้พัน ในร.21 รอ. แต่ต้องไป โตที่ ร.2 รอ. ฝั่งปราจีนบุรี สระแก้ว  ส่วน พล.อ.อนุพงษ์ และ พล.อ.ประยุทธ์  อยู่ ร.21 รอ. ชลบุรี ด้วยกัน ยาวนาน แต่ยังอยู่ใน พล.ร.2 รอ. เหมือนกัน เท่านั้น

ที่วัดใจ พล.อ.อนุพงษ์ และ พล.อ.ประยุทธ์ กันที่สุด ก็คือ ตอนที่ พล.อ.อนุพงษ์ จะเกษียณ จาก ผบ.ทบ.  ต้องการจะหนุน พล.อ.ประยุทธ์  ที่เป็นรอง ผบ.ทบ. อยู่ ขึ้นเป็น ผบ.ทบ. แทน นั่งยาว 4 ปี เลย แต่ตอนนั้น พล.อ.ประวิตร ขอให้ตั้ง “บิ๊กน้อย” พล.อ.วิชญ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา ผช.ผบ.ทบ. ในเวลานั้น ที่เป็น รุ่นพี่ ตท.11 และจะเกษียณก่อน ขึ้นเป็น ผบ.ทบ. ก่อน 1 ปี  แต่ พล.อ.อนุพงษ์ ไม่ยอม ยืนกรานจะให้ พล.อ.ประยุทธ์  เป็น ผบ.ทบ.

นี่เป็นบุญคุณครั้งใหญ่ ที่ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นหนี้ พล.อ.อนุพงษ์ อยู่ดังนั้น ไม่ว่า อะไร พล.อ.ประยุทธ์ จะประเคนให้ พี่ป๊อกหมด

จึงไม่แปลกที่ตั้ง พล.อ.อนุพงษ์  เป็น รมว.มหาดไทย มาตั้งแต่รัฐบาล คสช. จนมารัฐบาล เลือกตั้ง รวม 8 ปี แม้ว่า ต่อมาจะมีแรงหนุนให้ พล.อ.ประวิตร หัวหน้าพรรคพปชร. ที่ดูแลงานการเมืองให้ ควรจะนั่ง มท.1  แต่ พล.อ.ประยุทธ์ ก็ไม่ยอม และไม่เปลี่ยน

อีกทั้งตัว พล.อ.อนุพงษ์ เองก็ไม่อยากจะลุก และไม่อยากไปเป็น รมว.กลาโหม เพราะเป็นเป้าถูกจับตามอง และโจมตี  และ เสียงดังสำหรับ พล.อ.ประยุทธ์ มากกว่า พล.อ.ประวิตร เรียกได้ว่าตลอด 8 ปีของการเป็นมหาดไทย พล.อ.อนุพงษ์ ไม่ต้องกลัวว่าจะถูกปลด หรือเปลี่ยน ปรับออก เลยทีเดียว

แต่มาคราวนี้ พล.อ.ประวิตร ถูกสงสัยว่า อยู่เบื้องหลังปฎิบัติการเลื่อยขาเก้าอี้ รมว.มหาดไทย ของ พล.อ.อนุพงษ์ หรือไม่ กับความเคลื่อนไหวในพรรคพลังประชารัฐ และไม่ใช่ครั้งแรกที่มีความพยายามจะให้เปลี่ยนตัว มท.1 มาเป็น พล.อ.ประวิตร เอง

แม้ พล.อ.ประวิตร จะแบไต๋ เปิดท่าที ว่าพร้อมที่จะเป็น รมว.มหาดไทย แต่ทว่า พล.อ.ประยุทธ์ กลับยืนยันว่า ยังไม่คิดเรื่องการปรับคณะรัฐมนตรี และในที่สุด หาก พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ปรับครม. ก็ย่อมต้องหมางใจกับ พี่ใหญ่  อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

เพราะนอกจาก พล.อ.อนุพงษ์ ไม่ต้องการลุก แม้จะให้สัมภาษณ์ว่า ไม่ยึดติดเก้าอี้ ไม่มีปัญหา ให้นายกฯปรับได้เต็มที่เลย และกับ พล.อ.ประวิตร ก็เป็นพี่เลี้ยงและเป็นนายเก่า ที่อยู่ด้วยกันมาค่อนชีวิต ยืนยัน 3 ป. “ไม่มีแตก” ก็ตาม แล้ว พล.อ.ประยุทธ์  ยังไม่วางใจ พล.อ.ประวิตร ว่ามีแผนการเมือง อย่างไรเพราะแสดงทีท่าไม่ชัดเจนว่า จะสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ ให้ไปต่อ

ที่ พล.อ.ประยุทธ์หวาดระแวง คือเกรงว่าถ้า พล.อ.ประวิตร เป็น รมว.มหาดไทยแล้ว ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า หัวหน้าพรรคเศรษฐกิจไทย ที่ยังคงติดต่อไปมาหาสู่กับ พล.อ.ประวิตร รวมทั้ง อดีตบิ๊กตำรวจ บิ๊กทหาร น้องรัก พล.อ.ประวิตร ก็จะเข้ามามีบทบาทในมหาดไทย และเกรงว่าจะชักนำพี่ใหญ่ไปในทางที่เป็นปฏิปักษ์ต่อตัวเอง

ยิ่งหากมองเกมการเมือง ของ พล.อ.ประยุทธ์ ที่พยายามจะเดินเกมเอง ในเวลานี้ โดยมี พล.อ.อนุพงษ์ เป็นกุนซือ อย่างใกล้ชิด ก็ส่งสัญญาณว่า 2 ป. มีแผน มีเกมของตัวเอง

โดยเฉพาะการที่ พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค  ที่ปรึกษานายกฯ เปิดตัวรับตำแหน่ง หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติหลังจากที่อิดออด ดึงจังหวะมาเป็นเวลานาน พรรคนี้ ฉายภาพชัด ของกองเชียร์ พล.อ.ประยุทธ์ ที่มาจากกลุ่ม กปปส. ของ สุเทพ เทือกสุบรรณ ที่เป็นมิตรแท้ของพี่น้อง 2 ป. “ป๊อก-ประยุทธ์” มายาวนาน และ คนประชาธิปัตย์ ที่ สนิทสนมกับ พีระพันธุ์ ที่ชัดเจน อีกคือ การประกาศที่จะสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกรัฐมนตรีอีกสมัย และ ตัว พีระพันธุ์ เองในฐานะหัวหน้าพรรค ก็จะเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีอีกคน

การเดินหน้าเปิดตัว พรรครวมไทยสร้างชาติและตัว พีระพันธุ์ เป็นการส่งสัญญาณถึง พลเอกประวิตร หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ โดยตรง  หาก ไม่หนุน พล.อ.ประยุทธ์ ไปต่อ  พรรครวมไทยสร้างชาติ ก็พร้อมที่จะหนุนเอง แถมยังมี พรรคเทิดไท ที่ “แรมโบ้” เสกสกล อัตถาวงศ์ องครักษ์บิ๊กตู่ ตั้งขึ้นใหม่ ก็จะมาสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกฯ อีกพรรคหนึ่งด้วย

ที่สำคัญ ยังทิ้งระเบิดใส่พรรคพลังประชารัฐ และ พล.อ.ประวิตร แบบเต็มๆ

“เมื่อกลับไปอยู่ พรรคพลังประชารัฐ แต่โดนถูกกีดกัน ตลอดเวลา ไม่ให้มีบทบาทในพรรค ไม่รู้ว่ากลัวอะไรกับผม ไม่เรียกใช้งาน ไม่เห็นค่า กีดกัน บางคนไปยุยง หัวหน้าพรรคให้เกลียดผม ดังนั้นจึงแยก ไปตั้งพรรคการเมืองขึ้นใหม่ เป็นหัวหมา ดีกว่าเป็นหางราชสีห์”

รวมถึง การที่ พรรคพปชร. ไม่เอาสูตรคำนวณปาร์ตี้ลิสต์ แบบหาร500 ที่เชื่อกันว่า พล.อ.ประยุทธ์ ได้ส่งสัญญาณจนทำให้สภา ต้องโหวตเลือกหาร 500 ทั้งๆที่คณะกรรมาธิการฯ มีมติให้ใช้หาร 100 ไปแล้ว จนพล.อ.ประยุทธ์ ถูกโจมตีว่าต้องการสืบทอดอำนาจ เพราะก่อนหน้านี้ พล.อ.ประวิตร และพรรคพลังประชารัฐ ก็สนับสนุนสูตร หาร 100 มาตลอด

จนที่สุด เป็นเหตุของการเดินเกมสภาล่ม เพื่อรอให้หมดเวลา 180 วัน ใน 15 ส.ค.นี้ และทำให้สูตรหาร 500 ตกไป เพื่อหวังกลับไปใช้ฉบับของ กกต. บัตร 2 ใบ และหาร 100

จากนี้ จึงจะเป็นการวัดพลัง ของ พี่น้อง 3 ป . ที่แบ่งข้าง กันเป็น 1 ป.ป้อม  กับ 2 ป. ป๊อก-ประยุทธ์  ที่ยิ่งทำให้การเมือง ยิ่งเข้มข้น แม้พี่น้อง 3 ป. จะไม่แตก ถึงขั้นเป็นศัตรู แต่ก็ เป็นการชิงบทบาท นำที่อาจมีแผน ที่แตกต่างกัน แต่ปลายทาง คือ ต้องการ คุมอำนาจรัฐ กลับมาเป็นรัฐบาลเหมือนกัน 

โดยที่กองเชียร์ ก็ต้องการให้พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกฯต่อ ในขณะที่ กองเชียร์ พี่ใหญ่ ก็อยากให้ พล.อ.ประวิตร หรือ คนอื่น ที่ไม่ใช่ บิ๊กตู่ เป็นนายกฯ

พี่น้อง 3 ป. จึงเหมือนยืนอยู่ หน้าเหว และทางสามแพร่ง ว่าในเมื่อมีพรรคใคร พรรคมันแล้ว ในอนาคต ก็อาจ “ทางใคร ทางมัน”