คุยเฟื่องเรื่องต่างประเทศ / ดร.วิวัฒน์ เศรษฐช่วย

ไต้หวันซึ่งมีจำนวนประชากรอาศัยอยู่แค่ 23 ล้านคน และมีอาณาเขตอยู่ชิดติดกับจีนแผ่นดินใหญ่เพียง 80 ไมล์ แม้ไต้หวันจะเป็นประเทศเล็กๆก็ตาม แต่ขณะนี้ได้กลายเป็นชนวนสร้างความตึงเครียดที่อาจจะทำให้เกิดวิกฤติอันล่อแหลมอีกครั้งบนโลกกลมๆใบนี้

ส่วนวิกฤตที่มีสาเหตุมาจากไต้หวันจนสร้างผลกระทบกระเทือนต่อความสัมพันธ์อันดีระหว่างสองประเทศยักษ์ใหญ่มหาอำนาจอันได้แก่ “สหรัฐอเมริกา”และ “จีน” ทำให้เกิดเรื่องราวกินใจติดต่อกันมาอย่างยาวนาน โดยเริ่มปะทุมาเรื่อยๆก็ตาม แต่มาบานปลายในสมัยของ “อดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์”จนมาถึง “ประธานาธิบดีโจ ไบเดน” โดยทั้งสองผู้นำสหรัฐฯต่างก็ดำเนินนโยบายที่มีความคล้ายคลึงกันจนมีผลทำให้ “ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง” ผู้นำของจีนโมโหโกรธาไม่พอใจเรื่อยมา!!!

ทั้งนี้ปักกิ่งออกมายืนยันแบบย้ำๆซ้ำๆตลอดเวลาว่า “ไต้หวันเป็นส่วนหนึ่งของจีน” อีกทั้งยังออกมาปฏิเสธถึงการที่ไต้หวันเข้าไปมีส่วนร่วมในองค์การสหประชาชาติ และองค์กรระหว่างประเทศอื่นๆอีกด้วย

แต่อย่างไรก็ตามในทางกลับกันสหรัฐอเมริกากลับพยายามทั้งผลักและดันให้ไต้หวันเข้าไปมีส่วนร่วมในสหประชาชาติ แถมยังปรากฏต่อไปอีกว่าไต้หวันก็ยังเข้าไปมีสถานะเป็นสมาชิกในองค์กรต่างๆมากกว่าสี่สิบแห่งเช่นกัน

และถึงแม้ว่าบทบาทของไต้หวันส่วนใหญ่แล้วจะเป็นแค่เพียงในระดับภูมิภาค อาทิเช่น ไต้หวันเข้าไปเป็นสมาชิกร่วมกับธนาคารเพื่อพัฒนาแห่งเอเชีย และฟอรั่มความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก รวมไปถึง องค์การการค้าโลก แต่ทั้งหมดทั้งมวลที่กล่าวมาล้วนแล้วแต่มีความสำคัญในระดับเวทีโลกแทบทั้งสิ้น

ที่ผ่านมาตั้งแต่ปีค.ศ. 1979 สหรัฐอเมริกาได้สร้างความสัมพันธ์อย่างเป็นทางการกับสาธารณรัฐประชาชนจีนเรื่อยมาโดยตลอด แต่ทว่าสหรัฐอเมริกาก็ยังคงสานความสัมพันธ์อย่างไม่เป็นทางการกับไต้หวันเงียบๆไม่กระโตกกระตาก แถมยังขายอาวุธยุทโธปกรณ์ให้กับกองทัพไต้หวันเรื่อยมา แม้ว่าปักกิ่งจะออกมาเรียกร้องให้สหรัฐฯหยุดขายอาวุธให้กับไต้หวันก็ตาม แต่สหรัฐอเมริกากลับเอาหูทวนลมยังคงทำธุรกรรมค้าอาวุธไปเรื่อยๆอย่างต่อเนื่อง!!!

แถมครั้งที่อดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์เข้าดำรงตำแหน่งใหม่ๆเขาได้รับโทรศัพท์ที่ต่อสายตรงมาจาก “ประธานาธิบดีไช่ อิงเหวิน” แห่งไต้หวัน ซึ่งถือได้ว่าเขาคือประธานาธิบดีของสหรัฐฯคนแรกที่ได้เจรจาพูดคุยกับผู้นำของไต้หวัน นับตั้งแต่สหรัฐฯเริ่มสร้างความสัมพันธ์ใหม่กับจีนเมื่อปีค.ศ. 1979 ที่ครั้งนั้นได้กลายเป็นข่าวดังเกรียวกราว และตลอดสี่ปีในการบริหารประเทศของอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ปรากฏว่าสหรัฐฯกระชับความสัมพันธ์กับไต้หวันอย่างแน่นแฟ้น แม้จะถูกคัดค้านจากจีนก็ตาม แต่อดีตประธานาธิบดีทรัมป์ก็โนสน โนแคร์กลับเซ็นต์อนุมัติการขายอาวุธเพิ่มเติมให้แก่ไต้หวันมูลค่ากว่า 18,000 ล้านดอลลาร์ นอกเหนือจากนั้นอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ยังได้ส่งเจ้าหน้าที่ระดับสูงรวมทั้งคณะรัฐมนตรีเดินทางไปเยือนกรุงไทเปอีกด้วย!!!

และเมื่อประธานาธิบดีโจ ไบเดน เข้าสู่ทำเนียบขาว ปรากฏว่าเขาเข้ามาดำเนินนโยบายที่มีความคล้ายคลึงกับอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ โดยยังดำเนินการขายอาวุธให้แก่ไต้หวันอย่างต่อเนื่อง และยังปรากฏอีกด้วยว่าประธานาธิบดีโจ ไบเดนคือประธานาธิบดีคนแรกของสหรัฐฯที่ได้ส่งเทียบเชิญให้ตัวแทนของไต้หวันไปร่วมในพิธีรับตำแหน่งของตน

แต่ดูเหมือนว่าประเด็นที่ร้อนระอุแทบระเบิดและกำลังตกเป็นข่าวดังเกรียวกราวในขณะนี้ และยังได้สร้างความตึงเครียดจนเกือบขาดสะบั้นให้เกิดขึ้นระหว่างสหรัฐฯกับปักกิ่งก็คือ การที่ “ประธานสภาฯ แนนซี เพโลซี” ซึ่งดำรงตำแหน่งสูงเป็นอันดับสามของผู้นำรองลงมาจากประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดีของสหรัฐ มีกำหนดการเยือนพันธมิตรของสหรัฐฯพร้อมกับนักการเมืองคนสำคัญๆ โดยคณะของเธอได้ออกเดินทางจากแคลิฟอร์เนียไปแล้วเมื่อวันเสาร์ที่ 30 กรกฎาคม 2022 ที่ผ่านมา โดยจะไปเยือน สิงคโปร์ มาเลเซีย เกาหลีใต้ และ ญี่ปุ่น

การเดินทางของประธานสภาฯ แนนซี เพโลซี ในครั้งนี้ ปรากฏว่า สร้างความตึงเครียดให้เกิดขึ้นระหว่างสหรัฐฯและจีนมากเป็นพิเศษ เนื่องจากเธอเป็นประธานสภาฯคนแรกที่มีหมายกำหนดการที่จะไปเยือนไต้หวันยกเว้นจาก “ประธานสภาฯนิวท์ กิงริช” ที่เคยเดินทางไปเยือนไต้หวันมาแล้วเมื่อปีค.ศ. 1997

อนึ่งจากการพูดคุยเจรจาสนทนากันระหว่างประธานาธิบดีโจ ไบเดน และ ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 28 กรกฎาคม 2022ที่เพิ่งผ่านมาเป็นเวลานานกว่าสองชั่วโมง โดยการสนทนาตอนหนึ่งของประธานาธิบดีสี จิ้นผิงได้ออกมากล่าวคำเตือนอย่างค่อนข้างรุนแรงต่อประธานาธิบดีโจ ไบเดนว่า “ห้ามสหรัฐฯเข้าไปแทรกแซงกิจการภายในของจีนโดยเด็ดขาด”

เท่าที่ผ่านมาจะเห็นได้ว่าประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ตั้งเป้าหมายเอาไว้อย่างชัดเจนมากกว่าผู้นำคนอื่นๆที่ผ่านมาในอดีตประเด็นที่ว่า “ต้องการจะรวมเอาไต้หวันเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของจีน” และขณะนี้เป็นที่แน่นอนแล้วว่าประธานาธิบดีสี จิ้นผิง คงจะได้รับการรับรองให้ดำรงตำแหน่งผู้นำของจีนในสมัยที่สามในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า!!!

เมื่อปีกลายในโอกาสที่มีการเฉลิมฉลองครบรอบ 100 ปีของพรรคคอมมิวนิสต์ ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ก็ได้ออกมากล่าวสุนทรพจน์ใจความว่า “เป็นความสำคัญอย่างยิ่งที่จีนจะต้องผนวกรวมเอาไต้หวันเข้าเป็นส่วนหนึ่งของจีน และหากประเทศใดก็ตามเข้ามาต่อต้าน ประเทศนั้นก็จะได้รับผลตอบแทนอันแสนร้ายแรง”

เป็นที่น่าสังเกตอีกเช่นกันว่า เมื่อเดือนกรกฎาคม2022ที่ผ่านมาประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ได้ส่ง “นายพลเว่ย เฟิงเหอ” รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมเข้าไปร่วมประชุมระดับนานาชาติที่ประเทศสิงคโปร์ และในการประชุมรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมท่านนี้ยังได้เปิดเผยออกมาว่า “หากมีความจำเป็นประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ก็มีความพร้อมที่จะใช้กองกำลังทหารบุกเข้าไปยึดไต้หวัน”

สำหรับประเด็นร้อนๆในครั้งนี้นักวิเคราะห์ของสหรัฐฯต่างรู้สึกกังวลเกี่ยวกับศักยภาพทางด้านทหารและความแน่วแน่ของจีน ที่อาจจะกลายเป็นชนวนเหตุนำไปสู่การเผชิญหน้ากับสหรัฐฯ  ทั้งนี้สืบเนื่องจากจีนออกมากล่าวว่าพร้อมที่จะใช้กำลังเพื่อให้การรวมไต้หวันเข้าเป็นส่วนหนึ่งของจีนบรรลุผลตามเป้าหมายที่จีนตั้งเอาไว้ ทำนองเดียวกันกับสหรัฐฯที่มิได้ออกมากล่าวปฏิเสธการเข้าไปปกป้องไต้หวัน หากจีนต้องการจะใช้กำลังทหารเข้าจู่โจมไต้หวัน!!!

อย่างไรก็ตามนักวิเคราะห์บางคนมีความคิดเห็นทำนองที่ว่า การที่รัสเซียจู่โจมบุกเข้าไปโจมตีเพื่อยึดเอายูเครนมาเป็นของรัสเซียนั้น มีผลทำให้รัสเซียเป็นไอดอลสร้างความเข้มแข็งให้แก่จีนในการที่จะเข้าบุกนำเอาไต้หวันมาเป็นของตนด้วยเช่นกัน

อีกทั้งนักวิเคราะห์ทั่วไปต่างก็ลงความเห็นไปในทิศทางเดียวกันว่า “หากจีนบุกจู่โจมไต้หวันจริงๆ ไต้หวันคงไม่มีขีดความสามารถในการปกป้องตนเองจากการรุกรานของจีนได้ หากไต้หวันไม่ได้รับการสนับสนุนจากภายนอก โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากสหรัฐอเมริกา”

เป็นที่น่าสังเกตอีกว่าในปีค.ศ. 2022 ไต้หวันได้เพิ่มงบประมาณไปแล้วกว่า 8.6 พันล้านดอลลาร์ เพื่อใช้ป้องกันประเทศในระยะเวลาห้าปีต่อไปในภายภาคหน้า แต่กลับปรากฏว่าจีนก็ได้เพิ่มงบประมาณด้านการทหารมากไปกว่าไต้หวันถึง 22 เท่าตัว!!!

และยังปรากฏต่อไปอีกว่าขณะนี้สหรัฐฯก็ยังเตรียมความพร้อมในการพัฒนาศักยภาพด้านอุตสาหกรรมและเทคโนโลยี โดยเมื่อวันพุธที่  27 กรกฎาคม 2022นี้วุฒิสภาสหรัฐฯได้ผ่านงบประมาณเป็นยอดเงิน 280 พันล้านเหรียญเพื่อไม่ต้องการให้จีนแซงล้ำหน้าไปด้วยคะแนน 64 ต่อ 33 เสียง ซึ่งงบประมาณก้อนนี้ผ่านร่างไปอย่างง่ายดาย และเป็นที่แน่นอนแล้วว่าคงจะผ่านสภาผู้แทนฯไปได้ไม่ยากด้วยเช่นกัน

อนึ่งล่าสุดเมื่อวันอังคารนี้ท่าทีของจีนที่ออกมากล่าวต่อต้านการเดินทางไปเยือนไต้หวันของ “ประธานสภาฯแนนซี เพโลซี” ยังคงมีอย่างต่อเนื่องไม่เปลี่ยนแปลง แต่ข่าวการเยือนของประธานสภาฯแนนซี เพโลซียังคงสับสน แต่จากแหล่งข่าวหลายกระแสทั้งจากรัฐบาลไต้หวัน และจากสำนักข่าวสหรัฐฯหลายๆสำนักได้ออกมารายงานว่าประธานสภาฯจะไปเยือนไต้หวันอย่างแน่นอน!!!

กล่าวโดยสรุปทั้งนี้และทั้งนั้นการที่สหรัฐฯดำริให้ประธานสภาฯแนนซี เพโลซี เดินทางไปเยือนไต้หวัน นับว่าสหรัฐฯคาดการณ์ผิดดำเนินนโยบายที่บุ่มบ่ามไม่คิดหน้าคิดหลัง เนื่องจากเมื่อวิเคราะห์ดูแล้วสหรัฐฯยังไม่มีความพร้อมที่จะเปิดสงครามสองด้านตราบใดที่สงครามยูเครนยังคงคาราคาซังลูกผีลูกคนไม่สงบจบลงเสียที อีกทั้งไม่แน่ว่าหากสหรัฐฯผิดใจกับจีนในเรื่องไต้หวัน จีนและรัสเซียก็อาจจะจับมือผนึกพลังรวมตัวกันอย่างเปิดเผยมากขึ้นเพื่อล้มล้างความเป็นใหญ่ของสหรัฐฯ และต้องไม่ลืมด้วยว่าขณะนี้จีนมีกองทัพเรือที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก และหากประธานสภาฯแนนซี เพโลซีเดินทางไปเยือนไต้หวันจริงๆ คงไม่คุ้มค่าที่สหรัฐฯจะเปิดศึกกับจีน เข้าทำนองที่ว่าขณะนี้สหรัฐฯยังอยู่ในฐานะ NO/WIN กลืนไม่เข้าคายไม่ออก อีกทั้งคะแนนนิยมของประธานาธิบดีโจ ไบเดนในขณะนี้ก็ลดลงต่ำสุดเหลือแค่เพียง 38% เท่ากับว่าทั้งประธานาธิบดีโจ ไบเดนและประธานาธิบดีสี จิ้นผิงต่างก็ยึดเอาแต่อารมณ์ส่วนตัว โดยไม่คำนึงถึงความเดือดร้อนที่ต่างจ้องจะเอาประเทศชาติและประชาชนเข้ามาเป็นเดิมพัน และเมื่อใดก็ตามที่การทูตของทั้งสองประเทศพบกับความล้มเหลวนั่นหมายถึงสงครามของสองประเทศพญายักษ์ใหญ่จะตามมาละครับ