ปากกาขนนก / สกุล บุณยทัต
“ในที่สงัดลับ และเป็นที่สุดของความเป็นส่วนตัว ไม่มีใครได้เห็นภารกิจแห่งการกระทำที่เร้นซ่อนเจตจำนง มีเพียงใจอันไหวเคลื่อนสับสนเท่านั้นที่เหมือนจะรู้ว่า...อะไรเป็นอะไร?...อะไรแท้จริงเป็นสิ่งใด?...ทั้งนี้ภายใต้เงื่อนไขแห่งกลไกของชีวิต เราอาจจะประสบพบเจอว่า...ความหมายที่แท้ของชีวิตนั้น...ตกอยู่ในวังวนที่น่าเวทนาของตัวตนที่แสนจะเงียบงัน โดดเดี่ยวเกินกว่าจะหยั่งถึงความหมายของสถานภาพที่แท้ของการดำรงอยู่ใดๆ”
ทรรศนะอันเปรียบเหมือนบทสรุปของโลกอันสั่นไหวอย่างทุกข์ทรมานนี้...คือผลรวมแห่งผัสสะที่ได้รับจากนวนิยายที่ถูกยกย่องว่าเป็นหนึ่งในนวนิยาย...ที่ยิ่งใหญ่ตลอดกาลของอิตาลี...
“ในที่รโหฐาน” (ATTI OSCENI IN LUOGO PRIVATO)...งานประพันธ์ของ “มาร์โค มิสซีรอลี”(Marco Missiroli)...นักเขียนดาวรุ่งของอิตาลี เจ้าของรางวัล “คัมปีเอลโล” สาขางานประพันธ์...อาจารย์สอนวิชาการเขียนสร้างสรรค์ และ เป็นนักเขียนประจำคอลัมน์วรรณกรรมของหนังสือพิมพ์ “Corriere Delta Sera”/ ซึ่งมีผลงานที่นักอ่านชาวไทยรู้จักกันอย่าง “Fedelta”(ความซื่อสัตย์) และ “II senso Dell”elefante” (สำนึกของช้าง)..
นี่คือเรื่องราวที่ถูกระบุว่า..มันได้แสดงถึง ภาวะของการเติบโต วุฒิภาวะ สติปัญญา ความรัก ความหลงใหล ความโสมมแห่งการกระทำของชีวิต ตลอดจนความตายของความตาย..
“นันธวรรณ์ ชาญประเสริฐ” ผู้แปล...ได้ให้ทรรศนะแห่งภาพแสดงของนวนิยายเล่มนี้เอาไว้อย่างได้อารมณ์และชวนใคร่ครวญเอาไว้ว่า.. “ถ้าคนโดดเดี่ยวพอๆกันสองคนมาเจอกัน ...ความโดดเดี่ยวของทั้งคู่ จะหักล้างกันจนไม่เหลือ”
ภาพลักษณ์แห่งความจริงตรงส่วนนี้...นับเป็นจุดแสดงของปรากฏการณ์หลายๆสิ่งของนวนิยายเรื่องนี้นับแต่ การก้าวเปลี่ยนวัยที่ผสมผสานความหวานหอม ความย้อนแย้ง ความทุกข์ตรม และเพศวิสัย..ไปสู่ข้อสรุปของผัสสะอันแม่นตรงลึกล้ำ... มันคือความซื่อตรงอันจริงใจแห่งสภาวะในแต่ละสภาวะ...กลืนกลายกับความโรแมนติกที่ผู้หญิงต้องหลงรัก และผู้ชายก็แทบจะอดคิดถึงนัยความหมายแห่งตัวตนของตนไม่ได้..
ว่ากันว่า เมื่อตอนอายุได้สิบสองปี “ลิเบอโร มาร์แชล” ได้เห็นถึงพลังที่สร้างความวุ่นวายสับสนของความรักและกามรส เมื่อต้องเจ็บปวดจากการแยกทางกันของพ่อกับแม่..เขาดำดิ่งเข้าสู่โลกของผู้ใหญ่ ด้วยความต้องการที่จะสัมผัสประสบการณ์...เพื่อความเข้าใจที่ถ่องแท้...
“ตอนผมอายุสิบสองปีหนึ่งเดือน แม่ตักพาสต้าคัปเปลเล็ตติใส่จาน พร้อมกับเล่าว่ามดลูก...เป็นรากฐานของยุคสมัยใหม่ ...แม่รินน้ำซุปไก่และพูดว่า...ดูตัวอย่างจากประเทศฝรั่งเศสสิ นักเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิในการเลือกตั้งของสตรีจำนวนมากมาย ได้มอบอิสรภาพให้แก่จิตสำนึก”
“และการเป่าปี่” นั่นคือจุดแตกร้าว...ตอนที่พ่อของ “ลิเบอโร” เป่าอาหารในช้อน และกล่าวว่า “และการเป่าปี่” แม่จ้องหน้าพ่อ... “อย่าพูดต่อหน้าลูกอีกเด็ดขาด”...แล้วแม่ก็เผลอยิ้มเศร้าๆออกมา...พ่อเป่าอาหารต่อ และพูดแถมท้ายว่า.. “มันเป็นหนึ่งในสิ่งสำคัญของจักรวาล”
บทเปิดเรื่องที่เต็มไปด้วยการเหยียดเย้ย เสียดแทง และหมิ่นแคลนในลักษณะนี้ คือจุดระเบิดอันก้องดังแต่เงียบงัน ในเวิ้งสัมผัสอันขื่นขมของสัมพันธภาพ รอยปริแตกอันขมขื่นเหมือนจะทำให้อุบัติการณ์ของชีวิต แตกดับไปต่อหน้า...ความรู้สึกซ้อนความรู้สึกพวยพุ่งขึ้นเป็นแรงขับของจิตวิญญาณแห่งการตอบโต้...ผ่านรอยบาปแห่งการกระทำของผู้หญิง มันคือบทสะท้อนอันสะเทือนใจที่ตอบโต้ถึงกันด้วยกลกามแห่งกิเลสอันมืดมน...ผิดบาป...
“บ่ายวันนั้น...แอมานูเอล เพื่อนสนิทของครอบครัวเรา อยู่ในบ้าน พ่อออกไปซื้อสว่านและแวะเข้าบริษัท ส่วนผมกำลังรื้อของออกจากลังอยู่ในห้องนอน แม่บอกว่าจะรื้อเหมือนกันในห้องแม่ แอมานูเอลช่วยแม่ด้วยการถอดกางเกงลงไปกองที่ข้อเท้า ผมเห็นทั้งคู่ตรงช่องประตู เขายืนหรี่ตาเคลิ้ม ตรงหน้าผู้หญิงที่แต่งงานแล้วผู้กำลังคุกเข่าอยู่ หน้าอกโตของเธอถูกรัดแน่นอยู่ในชุดกระโปรง หน้าอกโตที่ถูกตัวผมเวลากอดราตรีสวัสดิ์ ผมยืนนิ่ง แล้วกลับเข้าห้องไปฉีกกล่องไปเรื่อยๆจนประตูเปิดออก....
“มีอะไรหรือเปล่าลูก” แม่ถาม ปากเพิ่งทาลิปสติก “ไม่มีอะไรครับ”........
บทเริ่มต้นแห่งวิสัยสามัญของมนุษย์ที่ต้องเผชิญหน้ากับความอัปลักษณ์ของชีวิต...เกิดขึ้นเงียบๆในใจกลางแห่งความอัปยศของวารวัยที่เริ่มต้นรับรู้มนต์มายาของโลก มันเป็นความยับเยินขั้นสูงสุดที่ก่อกระทำโดยผู้ให้กำเนิด...และแขกผู้เข้ามาอิงอาศัยอยู่ในชายคา...กลิ่นอายของบาปที่เปื้อนใจอบอวลแตกร้าวอยู่กับสัญชาตญาณที่เสื่อมทรุด...ที่สุดแล้วเขาก็ตอบโต้ชะตากรรมที่ไม่อาจเลี่ยงพ้นนี้..ด้วยการกระทำอันหื่นหิวในราคจริตอันน่าอับอายมิผิดกัน...
“...ผมสังเกตเห็นว่าเป้ากางเกงของผมตุง มันกักอาการเก็งตัวที่ผมไม่เคยระบายออกไปได้เลยไว้..วันนั้นผมลูบไล้ตัวเองเป็นครั้งแรก..ผมเคยเดาการเคลื่อนไหวที่จะมาปลดปล่อยไว้แล้ว...ไปข้างหน้า มาข้างหลัง อย่างสม่ำเสมอ ..
การนอกใจของแม่ การถึงจุดสุดยอดของแอมานูเอล ความหวงแม่ของผม ...ผมเร่งมือรอบสุดท้ายครั้งชี้ขาด ในตอนนั้นเองที่ผมได้รู้ว่า โลกดำเนินไปด้วยอะไร และชีวิตของเราดำเนินไปด้วยอะไร...”
ปมเงื่อนแห่งความอับปางในจิตวิญญาณของชีวิต...ถูกวาดแต่งเป็นภาพแห่งแรงดลใจของการกระทำ... ที่ทำให้ชีวิตของตัวละครตัวเอกผันแปร จนมุ่งมั่นที่จะทายท้าโลกแห่งชะตากรรมขื่นขม อันดิ้นไม่หลุดไปอย่างหยาบกระด้าง... “หยาบคาย อ่อนไหว กระทั่ง ทายท้าจริยธรรมหรือคุณธรรมใดๆ...”
ภายใต้การทายท้านั้น ทุกสิ่งดำเนินไปในชีวิตของ “ลิเบอโร” โดยตลอด เป็นบาปที่เปื้อนใจที่แปดเปื้อนซ้ำๆอยู่อย่างนั้น...ยิ่งเติบโตก็ยิ่งไม่มีอะไรดีขึ้นสำหรับชีวิตของเขา...ซากเดนแห่งความชั่วช้ายิ่งโถมเข้ากัดกินชีวิตของเขาเพิ่มยิ่งขึ้น...
“ตอนนั้นเองที่พ่อบอกกับผมว่า...พ่อจะไม่อยู่บ้านสักระยะนะ...นั่นเท่ากับว่า...ทั้งคู่แยกทางกัน...พ่อไปอยู่ในย่านมาเรส์ แม่อยู่กับผมที่เดิมบนถนน เดส์ เปอตีส์ –โซเตลส์”...สามเดือนต่อมา แอมานูเอลมาอยู่กับเราด้วย..
พ่อมาเก็บของในบ้านวันที่พ่อแน่ใจว่าจะไม่เจอใคร...ผมกลับจากโรงเรียนเร็วกว่าปกติ เพราะมีการประท้วง เห็นพ่อถือกล่องสองใบ..และมือที่สั่นเทา พ่อใส่เสื้อผ้าลงกล่องเรียบร้อย จึงรวบรวมแผ่นเสียงและข่าวตัดจากหนังสือพิมพ์ เลกิป...ที่ตรงกับช่วงอารมณ์และความรู้สึกต่างๆของพ่อ เช่นการแข่งขันรถที่คนชนะเป็นคนที่ไม่มีใครรู้จัก พ่อตัดเก็บไว้เพราะทำให้นึกถึงตอนพ่อรับปริญญา ชัยชนะของแคนาดาในฮอกกี้น้ำแข็งชิงแชมป์โลกคือเครื่องระลึกถึงนัดแรกกับแม่..และอื่นๆ...พ่อโยนหนังสือราวสามสิบเล่มลงกล่องด้วย หนึ่งในเล่มบนๆคือ “คนนอก” ...ผมช่วยพ่อยัดของทั้งหมดลงในเปอโยต์ 305 ..ผมหันหลังกลับแล้ววิ่งขึ้นบ้าน เข้าไปในห้องนอนของพ่อกับแม่...พุ่งตัวไปชกหมอนของแม่ ฤดูกาลแห่งครอบครัวของผมจบสิ้นแล้ว...และมันได้จากไปพร้อมด้วยความว่านอนสอนง่ายของผม...ช่วงเวลาแห่งความเคียดแค้นเริ่มต้นขึ้น”
ลีลาและสำนวนการประพันธ์สู่ความเป็นตัวละครของ “มาร์โค”...เต็มไปด้วยความเอกอุ และคั่งค้างทางอารมณ์ลึกที่แปรเปลี่ยนกลับกลาย...แม้ตัวละครแต่ละตัวจะมีบริบทแห่งชีวิตเกี่ยวโยงกับนานาสรรพสาระแห่งการดำรงอยู่ของชีวิตก็ตาม...นั่นคือสาระแห่งตัวตนที่ย้ำบอกถึงการไม่บรรลุผลต่อการเป็นตัวตนสักเท่าใดนัก...ยิ่งเมื่อชีวิตเติบใหญ่ และกำลังเอ่อท้นด้วยประสบการณ์อันยากจะให้ความหมาย...
“...ย่าแหวกทางเข้าไป...แล้วแนะนำให้ผมได้รู้จักกับหญิงสาวแต่งตัวเรียบง่ายคนหนึ่ง เธอสวมเสื้อสีขาวแขนกุด และ กางเกงทรงผู้ชาย...แขนเธอเรียวแต่ไม่ผอม เธอก้มแบบแปลกๆขณะแนะนำตัว ... “อันนาค่ะ”
ใบหน้าของเธอกว้าง ผิวขาวผ่อง หน้าตาคล้ายนักแสดงสาวสวย คลาวเดีย คาร์ดินาเล ...เธอทำหน้าเหมือนรู้จักผมมาก่อน ...ผมตอบเธอว่าไม่น่าเป็นไปได้ เธอพยายามนึก แต่ก็ไม่มองหน้าผม ท่าทางครุ่นคิด แล้วฉับพลันก็พูดขึ้นว่า... “ฉันเคยเห็นเธอในโรงหนังอันเตโอ...วันนั้นฉายเรื่อง “ฟูลเมทัลแจ็กเก็ต...” อันนายืดตัวตรงเหมือนทหารที่ชื่อโจ๊กเกอร์ ยกปืนยาวในจินตนาการขึ้นประทับบ่า ...”
“คนตายรู้อยู่อย่างเดียว คือ ไม่ตายดีกว่า”...เธอเสยผมจากซ้ายไปขวา..
เมื่อข้ามสู่วัยแห่งการเติบโตเป็นผู้ใหญ่...ชีวิตก็ย่อมแสวงหาทิศทางแห่งสถานะของตน ตามจารีตปฏิบัติ “มาร์โค” ได้สร้างภาวะให้ตัวละครของเขาต้องตัดสินใจเลือกอย่างใดอย่างหนึ่งที่มนุษย์ สมควรเลือก...ระหว่างห้วงขณะที่จะได้เป็นพ่อคน อันเป็นสถานะที่เป็นความหมายของชีวิต.
“ลิเบอโร” กลับรู้สึกเป็นปฏิปักษ์ต่อชื่อของตัวเอง...เขาเหมือนถูกพันธนาการด้วยความกดดันอันอ่อนหัด...เขาได้แต่ย้ำบอกกับตัวเองด้วยความคลางแคลงใจและไม่แน่ใจ...มันคือการสืบค้นความว่างเปล่าด้วยความว่างเปล่าอันไม่รู้จบรู้สิ้น..
“....และการร่วมเพศที่ผมดิ้นรนหามันเพื่อให้ลืม...ผมกำลังจะกลายเป็นพ่อคนที่กลัวตัวเอง ก่อนเวลาคลอดสี่สิบวันผมเจอโพสต์-อิต บนกระจกในห้องน้ำ มีข้อความเขียนว่า “เริ่มใหม่” ใกล้ๆนั้นมีสมุดหน้าปก “ลูแปง” วางอยู่ระหว่างกระปุกครีมทาผิวกับอาฟเตอร์เชฟ ...อันนาขุดมันออกมาจากลังที่เราเก็บไว้บนห้องใต้หลังคา ...ผมโทรศัพท์ไปหาเธอ...เธอบอกว่า “อาร์แซน ลูแปง” คือเส้นทางที่ผมหลงออกไป
ในที่สุด..โครงสร้างของชีวิตที่เกิดขึ้นอย่างเยียบเย็นในความเป็นหายนะทางจิตวิญญาณ ก็เกิดผลลัพธ์ต่อสำนึกแห่งการรับรู้ในชีวิตหนึ่งมากขึ้นเรื่อยๆจนยากจะควบคุม..เป็นเขตแดนแห่งความรโหฐาน อันเงียบงัน สู่การเปิดเปลือยภาวะจริตอันจมดิ่งอยู่กับมายาวิสัยที่ทบซ้อน..วนเวียนอยู่อย่างนั้น..เคว้งคว้างดับสูญอยู่อย่างนั้น ฝีมือทางการประพันธ์ของ “MARCO MISSIROLI” ถือว่าเต็มไปด้วยเชิงชั้น โดยเฉพาะการเข้าใจในบริบทแห่งความเป็นชีวิต อุปมาเชิงซ้อนแห่งกลไกของความหมายในชีวิตในแต่ละช่วงตอน ที่สื่อแสดงถึงอุปสรรคแห่งชีวิตนานา ผ่านปะทุอารมณ์ที่แข็งกร้าว ซึ่งเชื่อมโยงกับวัฒนธรรมสนองกิเลส อันมืดดำ ส่งผลขยายให้นวนิยายเรื่องนี้น่าค้นหาเพื่อการตีความอันเป็นนิยามซ่อนเร้นดั่งการค้นหาความหมายที่แฝงฝังอยู่ในหัวใจเฉพาะในแต่ละดวง...มิปาน..
“เรื่องปิดบังซ่อนเร้นของแม่ผมที่ถูกเปิดเผยก็คือ ศักดิ์ศรีในการเลือก ...นิ่ง เป็นอิสระ”