ราม วัชรประดิษฐ์
www.arjanram.com
พระกริ่ง แม้จะเริ่มมีการเผยแพร่เข้ามาสู่สยามประเทศตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ที่มีการติดต่อค้าขายกับชาวต่างชาติ โดยเฉพาะประเทศจีน ท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพนรัต แห่งวัดป่าแก้ว หรือ วัดใหญ่ชัยมงคล ได้รับ “ตำราการสร้างพระกริ่ง” มาจากที่ใดไม่ปรากฏ และไม่มีหลักฐานการสร้างที่แน่ชัด ต่อมาตกทอดมายัง สมเด็จกรมพระปรมานุชิตชิโนรส วัดพระเชตุพนฯ แต่ก็ไม่ปรากฏหลักฐานการสร้าง กระทั่ง “ตำราพระกริ่ง” ตกทอดมาถึง สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ วัดบวรนิเวศวิหาร จึงปรากฏหลักฐานการจัดสร้างพระกริ่งขึ้นและทรงขนานพระนามว่า “พระกริ่งปวเรศฯ” สุดยอดของพระกริ่งของไทยที่หาดูได้ยากยิ่งเพราะจำนวนการสร้างน้อยมาก
จนเมื่อตกทอดมาถึง สมเด็จพระสังฆราช (แพ ติสสเทว) วัดสุทัศนเทพวราราม สมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ 12 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ พระกริ่งจึงเริ่มเป็นที่รู้จักและนิยมสะสมกันอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะสายวัดบวรนิเวศวิหาร, วัดจักรวรรดิราชาวาส (วัดสามปลื้ม) และ วัดสุทัศนเทพวราราม จวบจนปัจจุบันยังคงมีการจัดสร้าง “พระกริ่ง” ในหลายๆ สำนักทั่วประเทศไทย ด้วยเชื่อในพุทธาคมความศักดิ์สิทธิ์ที่มีมาแต่อดีต
กล่าวถึง พระกริ่งยุคสมเด็จพระสังฆราช (แพ) ที่สร้างให้พระกริ่งเป็นที่กล่าวขานเลื่องลือและแพร่หลายสืบมานั้น เริ่มจากที่ท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ มีความนิยมชมชอบมาแต่ครั้ง “พระกริ่งปวเรศ” จนมาคิดค้นสูตรเฉพาะต่างๆ ของท่านเอง และริเริ่มสร้าง ‘พระกริ่ง’ มาตั้งแต่ปี พ.ศ.2441 ถึง พ.ศ.2486 ซึ่งล้วนทรงคุณค่าและทรงพุทธาคมเป็นเลิศ เป็นที่นิยมสะสมและแสวงหาทั้งสิ้น มีอาทิ พระกริ่งเทพโมลี, พระกริ่งธรรมโกษาจารย์, พระกริ่งพรหมมุนี, พระกริ่งพุฒาจารย์ ฯลฯ จนมาถึงรุ่นสุดท้ายคือ ‘พระกริ่งเชียงตุง’ แต่ด้วยจำนวนการสร้างในแต่ละรุ่นนั้นน้อยมาก ปัจจุบันจึงนับว่าหาได้ยากยิ่งนัก โดยเฉพาะรุ่นแรกและรุ่นสุดท้าย
พระกริ่งเทพโมลี พระกริ่งรุ่นแรกของท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ สร้างขึ้นในราวปี พ.ศ.2441-2442 ในวโรกาสที่ได้รับแต่งตั้งเป็นพระราชาคณะชั้นผู้ใหญ่ที่ ‘พระเทพโมลี’ โดยสร้างตามตำรับ ‘วัดป่าแก้ว’ และ ‘พระกริ่งปวเรศ’ ที่ทรงรำลึกถึง ซึ่งมีวิธีการอันละเอียดซับซ้อนและเต็มไปด้วยพิธีกรรมมากมาย ทรงตรัสว่า “ต้องดีในและดีนอก” “ดีใน” หมายถึง เมื่อสร้างพระกริ่งออกมาแล้วจะต้องมีเสียงเขย่าดังของเม็ดกริ่งที่ดังกังวาน โดยไม่ปรากฏรูเจาะรูคว้านให้เห็น ซึ่งจะต้องทำอย่างประณีตให้เป็นเนื้อเดียวกับองค์พระ ส่วน “ดีนอก” นั้น คือมวลสารแห่งเนื้อพระต้องตามสูตรอย่างโบราณทุกประการ เป็นเนื้อนวโลหะ ภายในขาวคล้ายเงิน แล้วกลับดำสนิท นอกจากนี้ จำนวนการจัดสร้างก็ต้องถือคติกำลังวัน เช่น วันจันทร์ มีกำลังวัน 15 ก็สร้างพระ 15 องค์, วันอังคาร กำลังวัน 8 ก็สร้าง 8 องค์ เป็นต้น
พระกริ่งพระเทพโมลี นับเป็นพระกริ่งมีความงดงามของพุทธศิลปะแบบไทยประยุกต์ มีพุทธลักษณะเฉพาะตัวที่ไม่เหมือนกริ่งอื่นทั้งมวล และมีพุทธานุภาพเป็นที่ปรากฏ ประการสำคัญคือ จำนวนการสร้างน้อยมาก กล่าวกันว่ามีการจัดสร้างเป็น 2 ครั้ง ครั้งแรกในปี พ.ศ.2441 จำนวน 9 องค์ และอีกครั้งในปี พ.ศ.2442 อีกจำนวนหนึ่ง โดยรวมแล้วไม่น่าจะเกิน 20 องค์เท่านั้น จึงจะหาดูหาเช่าของแท้ได้ยากยิ่ง นับเป็นหนึ่งในสุดยอดพระกริ่งของไทยอันทรงคุณค่ายิ่ง
ส่วนพระกริ่งรุ่นสุดท้าย นาม พระกริ่งเชียงตุง นั้น เป็นการสร้างโดยใช้ “พิมพ์พระกริ่งใหญ่” ของ พระยาศุภกรบรรณสาร (นุ่ม วสุธาร) ผู้อำนวยการกองพระคลังข้างที่ในสมัยรัชกาลที่ 6 อดีตช่างทองหลวงฝีมือดี ด้วยท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ ทรงโปรดพิมพ์ “พระกริ่งจีนใหญ่” ที่มีความสวยงามในทุกมุมมอง ซึ่งพระยาศุภกรบรรณสารจะรับอาสาทำแม่พิมพ์พระกริ่งใหญ่ถวายมาโดยตลอด ตั้งแต่ ‘พระกริ่งพรหมมุนี’ ในปี พ.ศ.2458 เมื่อกรอกหุ่นเทียนเสร็จตามจำนวนที่จะเข้าหุ่นดินไทยแล้ว ก็จะนำแม่พิมพ์กลับไปและเป็นเช่นนี้ทุกครั้ง แต่พอถึงปี พ.ศ.2466 ที่ทรงได้รับพระราชทานสถาปนาเป็นสมเด็จพระราชาคณะ ที่ สมเด็จพระพุฒาจารย์ ก็ทรงใช้เป็นแบบสร้าง ‘พระกริ่งพุฒาจารย์’ เช่นกัน ซึ่งในช่วงนั้นพระยาศุภกรบรรณสารได้ถึงแก่อนิจกรรม จากนั้นมาท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ จึงต้องเปลี่ยนไปใช้แม่พิมพ์อื่นในการสร้างพระกริ่งเป็นเวลาถึง 10 ปี
จนถึงปี พ.ศ.2486 คุณหญิงศุภกรบรรณสาร ภรรยาของพระยาศุภกรบรรณสาร ได้นำ ‘แม่พิมพ์พระกริ่งใหญ่’ ซึ่งเป็นแม่พิมพ์ตะกั่วอันเดิมกลับมาถวาย และในปีนั้นเอง ท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ ทรงโปรดให้หล่อพระกริ่งใหญ่โดยใช้แม่พิมพ์ตะกั่วเดิมนั้น เพื่อประทานแก่เจ้าหน้าที่กรมการศาสนาและพระสงฆ์ที่จะเดินทางไปเผยแผ่พระพุทธศาสนา ณ สาธารณรัฐเชียงตุง (ปัจจุบันอยู่ในประเทศพม่า-เมียนม่าร์) ถวายพระนามว่า “พระกริ่งเชียงตุง” โดยสร้างจำนวน 108 องค์ สถาปนาเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ.2486 ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 ครั้นพอถึงปีรุ่งขึ้น ณ วันที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ.2487 ท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระสังฆราช (แพ) ก็เสด็จดับขันธ์สิ้นพระชนม์ สิริพระชนมายุ 89 พระพรรษา 66
พระกริ่งเชียงตุง เป็นพระกริ่งที่ทรงสร้างโดยใช้ชนวนพระกริ่งรุ่นต่างๆ ที่ท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ ทรงเก็บไว้บนตำหนักสมเด็จฯ ผสมกับเนื้อชนวนพระกริ่ง ปี 2482 และแผ่นทองที่จารพระยันต์ 108 กับ นะ ปถมัง 14 รวมกับแผ่นทองที่เหลือจากการหล่อพระพุทธชินราชอินโดจีน ปี 2485 อีกจำนวนมาก กระแสเนื้อภายในจะออกสีนากอ่อนแล้วกลับเป็นสีน้ำตาล มีทั้งวรรณะอมเขียว ที่เรียกว่า ‘สีไพล (ว่านไพล)’ คือออกสีเขียวเข้ม เพราะแก่ชนวนพระกริ่งนวโลหะ และวรรณะออกน้ำตาลอ่อนและน้ำตาลอมแดง โดยมีท่านผู้รู้ได้ผูกคำพ้องจองกันว่า “พระกริ่งเชียงตุง พิมพ์กริ่งใหญ่ เนื้อเหลืองไพล อุดใหญ่ใกล้บัว” นับเป็นพระกริ่งที่งดงามและหายากยิ่งครับผม