วันที่ 4 ส.ค.65 นายสมชัย ศรีสุทธิยากร ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยการเมืองและการพัฒนา มหาวิทยาลัยรังสิต และอดีตกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก สมชัย ศรีสุทธิยากร ระบุว่า...
ชัยชนะบนราคาที่สูงลิ่ว
การมุ่งกลับมาใช้แนวคิดหารร้อย ด้วยการเลือกใช้วิชามนต์ดำ ดึงการประชุมให้ล่าช้า ปล่อยสภาล่ม เพื่อให้ ร่าง พ.ร.ป.ส.ส. ที่มีกำหนดการที่รัฐสภาต้องทำให้เสร็จภายใน 180 วัน ต้องตกไป และกลับไปใช้ร่างแรกของ ครม. ที่ใช้วิธีหารร้อยแทน แม้เป็นชัยชนะแบบรวดเร็วเบ็ดเสร็จ แต่มีราคาที่ต้องจ่ายสูงลิ่ว
ราคาดังกล่าว ไม่ใช่เพียงค่าใช้จ่ายในการประชุมรัฐสภา การประชุมกรรมาธิการวิสามัญ จำนวน 49 คน 19 ครั้ง ที่ต้องจ่ายเบี้ยประชุมครั้งละ 1,500 บาท เป็นเงิน 1.3 ล้านบาท ค่าจัดเลี้ยงอาหารวันละ 250 บาท รวมเป็นเงินเกือบ 300,000 บาท ค่าจัดทำเอกสาร 200,000 บาท
รวมค่าใช้จ่ายเกือบ 2 ล้านบาท
ไม่นับราคาของเวลา และการทุ่มเทของกรรมาธิการ ที่ใช้เวลาเกือบ 4 เดือนถกเถียง ออกแบบวิธีการเลือกตั้ง เอาผู้เชี่ยวชาญทางกฎหมายสารพัดทั้งจากสภา จากกฤษฎีกา จาก กกต. มาทำงานแบบทุ่มเท แล้วทุกอย่างกลายเป็นศูนย์นั้นยิ่งประเมินค่าไม่ได้
ไม่นับราคาของโอกาสของประชาชนที่จะได้ กม.เลือกตั้งที่กรรมาธิการช่วยกันออกแบบใหม่ในหลายเรื่องที่ไม่ปรากฏในร่างเดิมของ ครม. เช่น ข้อกำหนดให้ กกต.ต้องอำนวยความสะดวกแก่ประชาชนในการสังเกตการณ์การนับคะแนนให้โปร่งใส การให้ กกต.ต้องประกาศผลรายหน่วยในอินเตอร์เน็ตภายใน 72 ชม. หลังปิดหีบ การเปิดโอกาสให้มีการนับคะแนนการเลือกตั้งนอกราชอาณาจักรที่สถานทูต ไม่ต้องส่งบัตรกลับมานับที่ไทย และอื่น ๆ อีกมาก จะหายวับหลังจาก ร่าง กม.ตกไป
แต่สิ่งที่แพงที่สุด ที่จะสูญหายและไม่มีทางหวนคืน คือ เกียรติภูมิของรัฐสภา ที่ใช้วิชามารจงใจทำกฎหมายให้ไม่เสร็จใน 180 วัน ซึ่งอาจจะเป็นครั้งแรกของประวัติรัฐสภาไทยที่เกิดเหตุอัปยศเช่นนี้ขึ้น
อยากชนะเลือกตั้งแต่อ่อนคณิตศาสตร์ คิดไม่ตก คำนวณไม่เป็น ตัดสินใจแล้วย้อนกลับไปกลับมา 3 รอบ
พอสุดท้ายอยากได้หารร้อย ขนาดยอมลงทุนสร้างความเสียหายต่อเกียรติภูมิของรัฐสภา
หน้ามืดมากครับ ท่านผู้มีอำนาจในบ้านเมืองนี้