"สุทิน" มั่นใจสภาถกลูกเสร็จทัน 15 ส.ค. จับตาลงมติวาระ 3 ชี้ 2 แนวทางผ่าน-ตีตก  "หมอระวี" เชื่อสูตรหาร 500 ฉลุย รอ "ชวน"เคาะยื่นร่างให้ศาลรธน.ชี้ขาดหรือไม่ "ประเสริฐ" โว "เพื่อไทยแลนด์สไลด์" กวาดส.ส.เกินครึ่งสภา  "พีระพันธุ์"นั่งหัวหน้า รทสช.ตามโผ  ยันไม่ใช่พรรคอะไหล่พปชร.  "ปองพล" ดันชื่อ"ประยุทธ์-พีระพันธุ์" แคนดิเดตนายกฯ ขณะที่ศาลฎีกาฯ สั่งจำคุก ธณิกานต์  1 ปี ปรับ 2 เเสน ปมเสียบบัตรเเทนกัน

   
  ที่รัฐสภา เมื่อวันที่ 3 ส.ค.65 นายสุทิน คลังแสง ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงการประชุมร่วมรัฐสภาว่า ในวันนี้จะเป็นการประชุมต่อจากเมื่อวาน โดยเป็นการประชุมเพื่อพิจารณาร่างพ.ร.บ.กำหนดระยะเวลาดำเนินงานในกระบวนการยุติธรรม พ.ศ. .... ซึ่งมีอยู่ประมาณ 10 มาตรา อาจจะใช้เวลาไม่นาน และคาดว่าจะพิจารณาร่างพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. (ฉบับที่...) พ.ศ. ... ต่อ ซึ่งหากพิจารณาไม่จบในวันนี้ก็จะต้องไปประชุมร่วมรัฐสภาต่อวันที่ 9 - 10 ส.ค. ซึ่งตนเชื่อว่าจะจบก่อนวันที่ 15 ส.ค. 
    
 ผู้สื่อข่าวถามถึงแน้วโน้มในการลงมติวาระ 3 นายสุทิน กล่าวว่า การลงมติในวาระ 3 จะเกิดขึ้นหลังพิจารณาวาระ 2 ครบทุกมาตรา ซึ่งวาระ 3 อาจจะเกิดสองแนวทางที่เราคาดเดาไม่ได้คือ ทางที่ 1 หากร่างพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญฉบับนี้ผ่านการเห็นชอบก็จะถูกส่งไปที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) และกกต.ก็จะมีความเห็นกลับมาที่รัฐสภา  ส่วนทางที่ 2 หากพิจารณาตกไปในวาระ 3 ร่างกฎหมายฉบับนี้ก็ตก เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่หากอยากได้กฎหมายลูกก็ต้องกลับไปนับ 1 กันใหม่ ถ้าเสร็จไม่ทันวันที่ 15 ส.ค. ก็ต้องกลับไปใช้ร่างเดิมของกกต. คือการคำนวณส.ส.บัญชีรายชื่อด้วยการหาร 100 
     
เมื่อถามว่าหากเกิดการคว่ำวาระ 3 จะมีผลต่อการเลือกตั้งครั้งหน้าหรือไม่ นายสุทิน กล่าวว่า แน่นอนว่าต้องนับ 1 แต่จะทันเลือกตั้งหรือไม่ก็ยังไม่รู้ว่าจะมีการเลือกตั้งเมื่อไหร่ ถ้าเป็นการเลือกตั้งช่วงเดือน เม.ย. 66 ก็คงทัน แต่ก็จะต้องมีการเปิดประชุมรัฐสภาสมัยวิสามัญและต้องพร้อมใจกันทำ แต่ที่ผ่านมารัฐบาลบอกว่ามีทางออกด้วยการออกพระราชกำหนด(พ.ร.ก.) เพื่อให้อำนาจกกต. ใช้ในการเลือกตั้ง ตนถือว่าเป็นเรื่องไม่ดีและที่ไม่ควรเกิดขึ้น เพราะกฎหมายที่เป็นกติกา ควรมีคนกลางเป็นคนเขียน หากออกพ.ร.ก.ก็มีความวิตกกังวลว่าจะเป็นการเข้าทางรัฐบาล กฎหมายที่ใช้ในการเลือกตั้งเปิดช่องให้คนเข้าสู่อำนาจต้องเป็นกฎหมายที่ทุกคนยอมรับ ซึ่งพ.ร.ก.ไม่ควรนำมาใช้เป็นกฎหมายเลือกตั้ง ทุกคนควรหาทางออกให้มีกฎหมายในสภาฯจะดีที่สุด
  
   นพ.ระวี มาศฉมาดล ส.ส.บัญชีรายชื่อและหัวหน้าพรรคพลังธรรมใหม่ ในฐานะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส. (ฉบับที่...) พ.ศ....  กล่าวถึงการพิจารณาร่างพ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส.ในที่ประชุมรัฐสภา ว่า ในวันนี้จะไม่มีการเสนอเลื่อนระเบียบวาระในเรื่องดังกล่าวให้ลัดคิวการพิจารณา ตนมั่นใจว่าทันกรอบเวลา 180 วันแน่นอน 
    
 คงไม่มีใครต้องการคว่ำร่างนี้ในวาระที่ 3 เพราะจะทำให้ต้องไปเริ่มต้นกันใหม่ ซึ่งถ้าสภาผ่านวาระ 3 ไปแล้ว สภาจะต้องยื่นให้ กกต.และหรือศาลฎีกา ศาลรัฐธรรมนูญ ก็อยู่ที่น ายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา ว่าจะส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญด้วยหรือไม่  โดยเรื่องนี้ประธานชวนยังไม่ได้ให้คำตอบ ซึ่งผลการวินิจฉัยเราก็คาดไว้หลายรูปแบบ หากการวินิจฉัยว่าหาร 500 ขัดรัฐธรรมนูญ ใช้ได้แต่หาร 100 ก็ต้องถูกตีกลับมาที่สภา เพื่อคิดในกรอบหาร 100 แต่ถ้าศาลรัฐธรรมนูญตีกลับมาว่าหาร 100 ก็ผิด สภาก็ต้องกลับมาแก้ไขตามศาลรัฐธรรมนูญŽ 
 
    ด้าน นายประเสริฐ จันทรรวงทอง ส.ส.นครราชสีมา ในฐานะเลขาธิการพรรคเพื่อไทย เปิดเผยว่า กรณีการดำรงตำแหน่ง 8 ปี ของ พล.อ.ประยุทธ์  จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พรรคฝ่ายค้านมีการหารือกันบ้าง แต่ยังไม่ได้ข้อสรุปว่าจะดำเนินการอย่างไร ซึ่งหากจะยื่นศาลรัฐธรรมนูญจะขอดูสถานการณ์วันที่ 24 ส.ค.ก่อน ทั้งนี้เชื่อว่าจะมีคนยื่นศาลรัฐธรรมนูญอย่างแน่นอน สำหรับการเลือกตั้งครั้งหน้า ไม่ว่าสูตรเลือกตั้งจะเป็นอย่างไร พรรคเพื่อไทยก็พร้อมสู้ 
       
มั่นใจในนโยบายของพรรคตลอดจนการทำงานของส.ส.เพื่อไทยที่ดูแลพี่น้องประชาชนในทุกพื้นที่ตลอดมา การเลือกตั้งครั้งหน้าพรรคเพื่อไทยพร้อมสู้ทั้ง 400 เขต และคาดว่าพรรคได้ส.ส.เกิน 250 คน มั่นใจว่าเพื่อไทยแลนด์สไลด์เกิดขึ้นได้อย่างแน่นอน" นายประเสริฐ กล่าว
    
วันเดียวกัน  ที่สโมสรราชพฤกษ์ พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) จัดให้มีการประชุมใหญ่วิสามัญ เพื่อเลือกตั้งหัวหน้าพรรค และกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ โดย นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค แคนดิเดตหัวหน้าพรรค ให้สัมภาษณ์ก่อนการประชุมว่า แนวทางของพรรคต้องการเดินหน้าเพื่อทำประโยชน์ให้กับประชาชนจริงๆ ไม่เน้นที่ตัวบุคคล โดยเฉพาะ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ที่มีข่าวว่าพรรคให้การสนับสนุน ถ้าแนวทางการทำงานตรงกับพรรคเราก็ยินดีสนับสนุน ส่วนเมื่อ 2 วันก่อนตนได้ไปพบกับนายกฯ ไม่ได้มีการพูดคุยเรื่องการเมือง แต่เป็นการคุยเรื่องงานที่นายกฯมอบหมาย
 
    ผู้สื่อข่าวถามว่า คิดอย่างไรที่สังคมมองว่าพรรครวมไทยสร้างชาติเป็นพรรคอะไหล่ของพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า ไม่ทราบว่าใครมอง แต่ตนไม่ได้มองอย่างนั้น เราทำการเมืองไม่ได้ขึ้นตรงกับพรรคอื่น ตนไปยุ่งเกี่ยวเขาไม่ได้ พรรคพลังประชารัฐและรวมไทยสร้างชาติต่างคนก็ต่างทำงาน แต่อาจจะมีเป้าหมายเดียวกันคือเพื่อชาติบ้านเมือง และที่ผ่านมาตนไม่ได้พูดกับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ  ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ เพราะไม่ได้เกี่ยวข้องกัน เมื่อถามว่า มองแนวทางการเลือกตั้งในครั้งหน้าไว้อย่างไร นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า ยังไม่ถึงเวลา 
  
   เมื่อถามว่า ตั้งเป้าการเดินหน้าของรวมไทยสร้างชาติอย่างไร นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า เราจะพยายามทำหน้าที่ให้เป็นพรรคที่ดีของประชาชนและประชาชนพึ่งหวังได้ รวมถึงดูแลชาติบ้านเมืองอย่างเต็มที่ ทั้งนี้ตนและเลขาธิการพรรคคุยกันมาตลอดว่าถ้าเราได้รับความไว้วางใจจากประชาชนให้เข้ามาทำหน้าที่บริหารประเทศ เราจะเดินไปในรูปแบบไหน ยืนยันว่าเราเป็นพรรคการเมืองที่พร้อมจะรับมือกับสถานการณ์ต่างๆ โดยเฉพาะในการเลือกตั้งที่จะมาถึงตลอดเวลา 
   
  เมื่อถามว่าตั้งเป้าจะได้ส.ส. มากน้อยแค่ไหน นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า ทุกพรรคก็คงเหมือนกันที่ต้องการจะให้ได้ส.ส.มากที่สุด ซึ่งเราก็มีความมั่นใจในระดับหนึ่งว่าจะได้ส.ส.เขตเข้ามาพอสมควร เราจะพยายามส่งให้ครบทุกเขต ส่วนข่าวจะให้ พล.อ.ประยุทธ์มาเป็นหัวหน้าพรรคนั้น ตั้งแต่ตนสมัครสมาชิกมายังไม่เห็นข่าวนี้  เมื่อถามว่า พรรครวมไทยสร้างชาติจะมีบิ๊กเนมให้ประชาชนเซอร์ไพรส์หรือไม่ นายพีระพันธุ์ ตอบว่า ความจริงอยู่ที่คนมองว่าคนไหนเซอร์ไพรส์หรือไม่เซอร์ไพรส์ เชื่อว่าจะมีคนทยอยเข้ามาเป็นสมาชิกเพิ่มเรื่อยๆ ส่วนจะเป็นใครบ้างนั้นก็ต้องรอดู 
  
   เมื่อถามอีกว่า เมื่อเป็นหัวหน้าพรรคแล้วก็พร้อมที่จะรับตำแหน่งนายกฯ หรือไม่ นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า หัวหน้าพรรคทุกพรรคก็ต้องมีความพร้อมอยู่แล้ว แต่ไม่ได้แปลว่าเราพร้อมแล้วเราจะได้ การเป็นนักการเมืองก็ต้องพร้อมรับทำหน้าที่ทุกตำแหน่งไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลหรือฝ่ายค้าน
 
    สำหรับการเลือกตั้งหัวหน้าและกรรมการบริหารพรรค ที่ประชุมมีมติให้ นายพีระพันธุ์ได้เป็นหัวหน้าพรรค นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ เป็นเลขาธิการพรรค นายปรากรมศักดิ์ ชุณหะวัน เหรัญญิก นายเกรียงยศ สุดลาภา นายทะเบียน ส่วนกรรมการบริหารพรรค ได้แก่ นายวิทยา แก้วภราดัย ,นายดวงฤทธิ์ เบ็ญจาธิกุล ชัยรุ่งเรือง ,นายวิสุทธิ์ ธรรมเพชร , นายชื่นชอบ คงอุดม และนายเกชา ศักดิ์สมบูรณ์

     ด้าน นายปองพล อดิเรกสาร สมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) กล่าวว่า การที่ตนเข้าร่วมพรรครวมไทยสร้างชาติเพราะรู้จักกับ นายพีระพันธุ์มานานแล้ว และยังเป็นญาติกัน จึงได้ตัดสินใจเข้ามาร่วมเป็นสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ  เมื่อถามว่า จะสนับสนุนชื่อพล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกฯ อีกครั้งหรือไม่ นายปองพล กล่าวว่า การที่เราจะสนับสนุนใครต้องดูผลงาน ความพร้อม และดูสถานการณ์ของประเทศไปจนถึงของโลกในปัจจุบัน หากนำรายชื่อผู้ที่อยู่ในข่ายที่จะเป็นผู้นำของประเทศมาเรียงกันดูก็จะเห็นว่าพล.อ.ประยุทธ์นั้นมีผลงาน และสถานการณ์โลกในปัจจุบันก็เข้มข้นจึงต้องอาศัยคนที่จะตัดสินใจได้เด็ดขาด ซึ่งระยะเวลา 8 ปี ที่พล.อ.ประยุทธ์ดำรงตำแหน่งก็ได้พิสูจน์ให้เห็น ซึ่งประเด็นสำคัญที่สุดคือเรื่องความซื่อสัตย์สุจริต อย่างไรก็ตามเรามีสิทธิเสนอชื่อแคนดิเดตนายกฯ แค่ 3 ชื่อ ก็ต้องพูดคุยหารือกันก่อนว่าจะเสนอชื่อใครบ้าง ต้องเลือกดูทั้งผลงานและพฤติกรรมส่วนตัว
  
   นายเสกสกล อัตถาวงศ์ อดีตผู้ร่วมก่อตั้งพรรครวมไทยสร้างชาติ  ได้มามอบดอกไม้แสดงความยินดีพรรครวมไทยสร้างชาติ พร้อมกล่าวว่า ถึงเวลานี้หากจะถามว่าสนับสนุนชื่อใครเป็นแคนดิเดตนายกฯ ตนขอบอกว่าในอดีตที่ได้ร่วมเป็นผู้ก่อตั้งพรรครวมไทยสร้างชาตินั้นสนับสนุนพล.อ.ประยุทธ์ แต่ในวันนี้พรรครวมไทยสร้างชาติจะเสนอชื่อใครคงต้องแล้วแต่นายพีระพันธุ์และกรรมการบริหารพรรค ตนมาในวันนี้เพียงมาแสดงความยินดี เมื่อได้ขุดหลุมสร้างตอม่อสร้างพรรครวมไทยสร้างชาติมาแล้ว แต่ก็ได้ลาออกแล้ว โดยส่วนตัวไม่ว่าตนจะทำงานที่ไหนพรรคใดยังคงสนับสนุนพล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกฯต่อไป 
  
   นายเสกสกล กล่าวว่า ตนกับน้องๆกลุ่มเทิดไท้องค์ราชันจึงปรึกษากันว่าในอนาคตทางการเมืองจะไปตั้งพรรคการเมืองขึ้นใหม่ โดยไปยื่นจดทะเบียนพรรคการเมืองชื่อพรรคเทิดไท ซึ่งขณะนี้รอคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) อนุมัติ โดยมีตนเป็นหัวหน้าพรรค เพราะคิดว่าเป็นหัวหมาดีกว่าเป็นหางราชสีห์ โดยยึด 2 ข้อหลักคือ ปกป้องสถาบันกับสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกฯอีกสมัย
  
   ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง องค์คณะผู้พิพากษา อ่านคำพิพากษาคดีหมายเลขดำที่ 19/2564คดีที่ อัยการสูงสุดยื่นฟ้อง น.ส.ธณิกานต์  พรพงษาโรจน์ ส.ส.กทม.พรรคพลังประชารัฐ (ตำแหน่งขณะก่อนถูกสั่งยุติปฏิบัติหน้าที่) โดยโจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 8 ส.ค.62 เวลากลางวัน จำเลยดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แบบแบ่งเขตเลือกตั้งที่ 7 (บางซื่อ  ดุสิต) กรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและเป็นเจ้าพนักงานของรัฐ ลงชื่อเข้าร่วมประชุมสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ 25ปีที่ 1ครั้งที่ 14 (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่หนึ่ง) ซึ่งมีการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติเหรียญราชรุจิ รัชกาลที่ 10 พ.ศ. ‚ โดยไม่ได้ลาประชุม แต่ไม่ได้อยู่ในที่ประชุม จำเลยฝากบัตรอิเล็กทรอนิกส์แสดงตนและลงมติของจำเลยกับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรรายอื่น เพื่อให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรรายนั้นใช้บัตรของจำเลยกดปุ่มแสดงตนและลงมติแทน
   
  จำเลยมีพฤติการณ์ที่รู้เห็นหรือยินยอมให้ผู้อื่นใช้ตำแหน่งหน้าที่ของตนแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบจากการออกเสียงลงคะแนนแทนกัน อันเป็นการกระทำโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายและข้อบังคับที่เกี่ยวข้อง เป็นเหตุให้สภาผู้แทนราษฎรปวงชนชาวไทยผู้เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย รวมทั้งกระบวนการตรากฎหมายของฝ่ายนิติบัญญัติได้รับความเสียหาย ขอให้ลงโทษตามพ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561มาตรา 172 จำเลยให้การปฏิเสธ
     
การกระทำของจำเลยก่อให้เกิดความเสียหายแก่ประชาชน และสภาผู้แทนราษฎรอันเป็นองค์กรที่ทําหน้าที่นิติบัญญัติแล้ว แม้จะไม่ทำให้กระบวนการตรากฎหมายเสียไปการกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานของรัฐปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในตำแหน่งหรือหน้าที่หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหรือหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด จำเลยอาศัยโอกาสในการปฏิบัติงานในหน้าที่ของตนเป็นช่องทางในการแสวงหาประโยชน์อันมิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายสำหรับตนเอง ถือได้ว่าเป็นปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตแล้ว การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานของรัฐปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตด้วย
     
พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามพ.ร.บ.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 172จำคุก 1 ปี และปรับ 2 เเสนบาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้  2 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา56หากจำเลยไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29,30 กรณีต้องกักขังแทนค่าปรับให้กักขังไม่เกิน 1 ปี