วันที่ 1 สิงหาคม 2565 เวลา 11.30 น. ที่ ห้องประชุม War Room ชั้น 35 อาคารธานีนพรัตน์ ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร ดินแดง นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (ผู้ว่าฯ กทม.) กล่าวภายหลังเป็นประธานประชุมคณะผู้บริหาร เรื่องความคืบหน้าโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ว่า กทม.เป็นคู่สัญญาหลักกับ บริษัท กรุงเทพธนาคม จำกัด (เคที) โดยแนวเส้นทางหลัก (ไข่แดง) ประกอบด้วย สายสุขุมวิท หมอชิต-อ่อนนุช และสายสีลม (สนามกีฬาแห่งชาติ-สะพานตากสิน) กทม.ให้สัมปทาน บีทีเอส ตั้งแต่ 2542-2572 และตั้งแต่ปี 2572-2585 กทม.ว่าจ้าง เคที ให้บริหารจัดการระบบ ซึ่งเคทีได้ว่าจ้างให้ บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (บีทีเอสซี) เดินรถพร้อมซ่อมบำรุง
ขณะที่แนวส่วนต่อขยายที่ 1สายสุขุมวิท (อ่อนนุช-แบริ่ง) และสายสีลม (สะพานตากสิน-บางหว้า) ได้ว่าจ้างบีทีเอสเดินรถและปรับปรุง (2555-2585) ส่วนแนวส่วนต่อขยายที่ 2 สายสุขุมวิท (แบริ่ง-เคหะฯ) และ (หมอชิต-คูคต) มอบหมายให้เคทีบริหารจัดการ และจัดให้มีระบบไฟฟ้าและเครื่องกล ซึ่งเคทีได้จ้างบีทีเอส เดินรถและซ่อมบำรุง พร้อมติดตั้งระบบการเดินรถ
ทั้งนี้ พบความแตกต่าง ระหว่างการทำส่วนต่อขยายทั้ง 2 ส่วน โดยส่วนต่อขยายที่ 1 ได้มีการบรรจุโครงการลงในข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่องงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม ประจำปีงบประมาณ 2555 (ฉบับที่1) จากนั้นมีการลงนามสัญญาจ้าง โครงการบริหารจัดการระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ ระหว่าง กทม.กับเคที ก่อนที่เคทีจะลงนามสัญญาให้บีทีเอสซี เดินรถและซ่อมบำรุง แต่ส่วนต่อขยายที่2 มีการลงนามสัญญาซื้อขาย พร้อมติดตั้งระบบการเดินรถและซ่อมบำรุง (ไฟฟ้าและเครื่องกล) ระหว่างเคที กับบีทีเอส จากนั้นลงนามบันทึกข้อตกลงมอบหมายให้จัดบริการเดินรถและติดตั้งระบบเดินรถและซ่อมบำรุง ระหว่าง กทม.กับเคที ก่อนเคทีจะลงนามสัญญา ให้บีทีเอสเดินรถและซ่อมบำรุง จะเห็นได้ว่าความแตกต่างส่วนต่อขยายที่ 2 ไม่มีการบรรจุโครงการลงในงบรายจ่ายดังกล่าว จึงไม่ผ่านความเห็นชอบจากสภา กทม. และความแตกต่างที่2 ส่วนต่อขยายที่1 เป็นการทำสัญญาจ้าง มีการระบุกรอบวงเงินที่ชัดเจน แต่ส่วนต่อขยายที่2 เป็นการทำบันทึกมอบหมาย โดยไม่มีการระบุวงเงินงบประมาณ มีเพียงข้อมูลประมาณการรายรับ รายจ่ายเท่านั้น
ขณะที่ภาระหนี้ที่เคทีเรียกเก็บจากกทม. ตั้งแต่เดือน เมษายน 2560-เมษายน 2565 รวมทั้งสิ้น 35,459,486,964.87 บาท แบ่ง เป็นค่าเดินรถและซ่อมบำรุง 17,609,605,690.59บาท ในส่วนต่อขยาย 1-2 และค่าใช้จ่ายงานซื้อขายพร้อมติดตั้งระบบเดินรถ เฉพาะส่วนต่อขยายที่ 2 จำนวน 17,849,881,274.28บาท แต่หนี้ดังกล่าวยังไม่สามารถชำระได้ เนื่องจากหนี้สินเป็นเงื่อนไขจากการเจรจา ของคณะกรรมการเจรจาที่ทำตามคำสั่งของหัวหน้า คสช. เรื่องการดำเนินโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ซึ่งปัจจุบัน อยู่ระหว่างรอความเห็นจาก ครม. พิจารณาร่างสัญญาร่วมทุนฉบับแก้ไขถึงปี 2602
นอกจากนี้ ยังได้สรุปประมาณการเงินอุดหนุนที่ กทม.ให้เคที สำหรับบริหารจัดการส่วนต่อขยายที่ 2 ตั้งแต่ปี 2562 – 2572 เป็นจำนวน 9,001.60 ล้านบาท แม้จะมีการประมาณว่าต้องใช้เงินงบประมาณในการอุดหนุน แต่กลับไม่มีการขออนุมัติงบฯ จากสภา กทม.ซึ่งความแตกต่างระหว่างรายรับรายจ่าย ประมาณการ และที่เกิดขึ้นจริงของส่วนต่อขยายที่ 2 มีข้อสังเกตว่ารายได้และค่าใช้จ่ายในช่วง 5 ปีแรก ของส่วนต่อขยายที่ 2 ของที่ประมาณการไว้ ในบันทึกมอบหมาย และรายได้ที่เกิดขึ้นจริง (ซึ่งเคที เรียกเก็บจากกทม. และการเก็บค่าโดยสาร) มีความแตกต่างกัน ทั้งแง่รายได้ที่ไม่เคยมีการเก็บเลย และค่าใช้จ่ายที่สูงกว่าประมาณการไว้ กล่าวคือ ตั้งแต่ปี 2562-2564 มีการประมาณการรายได้ไว้ แต่ไม่มีการเรียกเก็บค่าโดยสาร แต่กลับมาเรียกเก็บจาก กทม. ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายในเดินรถ
ขณะเดียวกัน มีข้อสังเกต เรื่องค่าใช้จ่ายประมาณการติดตั้งระบบเดินรถในบันทึกมอบหมายช่วงปี2563-2565 มีการประมาณการไว้เพียงดอกเบี้ย แต่ในความเป็นจริง มีการเรียกเก็บเงินต้นเข้ามาด้วยทั้งหมด ส่วนค่าแรกเข้า เคที จะได้เจรจากับบีทีเอส ในแนวทางการจัดเก็บค่าแรกเข้าเพื่อไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อนระหว่างส่วนสัมปทานและส่วนต่อขยาย คาดว่าใช้เวลาไม่นาน เพื่อจัดเก็บค่าโดยสารส่วนต่อขยายส่วนที่2ให้เร็วที่สุด จึงจำเป็นต้องทำให้รอบคอบ เพราะเป็นเรื่องกฎหมาย ตัวเลข และเงินงบประมาณซึ่งเป็นภาษีของประชาชน
อย่างไรก็ตาม การดำเนินงานระยะถัดไปของส่วนต่อขยายที่ 2 มีดังนี้ 1.ตอบหนังสือกระทรวงมหาดไทย ที่แจ้ง กทม. ขอทราบแนวทางการดำเนินโครงการเนื่องด้วยมีผู้ว่าฯ กทม. และสภา กทม. ชุดใหม่ โดยแนวทางการดำเนินงาน ประกอบด้วย นำหนังสือกระทรวงมหาดไทยเข้าหารือร่วมกับสภา กทม. โดยมีประเด็นหารือ เรื่อง งานโยธา ขอรับการสนับสนุนจากรัฐบาล ดังเช่นโครงการอื่นๆ รวมถึงหารือตามมติคณะกรรมการจัดการจราจรทางบก (คจร.) ครั้งที่ 2/2560 เห็นชอบในหลักการให้รัฐบาลสนับสนุนงบประมาณ กทม. สำหรับการรับโอนโครงกรรถไฟฟ้าสายสีเขียว โดยให้กระทรวงคมนาคม กระทรงการคลัง กทม. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหารือสัดส่วนการลงทุนที่เหมาะสมระหว่างรัฐบาล และ กทม. รวมทั้งหารือแนวทางที่ กทม.จะชำระเงินคืนแก่รัฐบาล นอกจากนี้ ยังมีเรื่องโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวหลังปี 2585 จะดำเนินการตาม พระราชบัญญัติการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ. 2562 (พรบ.ร่วมลงทุนฯ) เพื่อให้เกิดความโปร่งใส
2.ตรวจสอบบันทึกข้อตกลงมอบหมายกิจการในอำนาจหน้าที่ของ กทม. โครงการระบบชนส่งมวลชนสายสีเขียว โดยมีแนวทางการดำเนินงาน ดังนี้ ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบความถูกต้องของบันทึกข้อตกลงมอบหมาย และนำบันทึกข้อตกลงฯ เข้าหารือร่วมกับสภา กทม. เพื่อหาแนวทางในการดำเนินงานต่อไป 3.การเริ่มจัดเก็บค่าโดยสาร มีแนวทางการดำเนินงาน คือ นำรายละเอียดค่าโดยสาร วิธีคิด สูตรคำนวณ ประมาณการรายได้ค่าโดยสาร แจ้งให้สภา กทม. ทราบเพื่อดำเนินการจัดเก็บ
นายชัชชาติ กล่าวอีกว่า จะนำข้อมูลข้างต้น ไปเผยแพร่ผ่านเว็บไซต์ ของกทม. เนื่องจากได้รับความเห็นชอบจาก เคที ในการเปิดเผยข้อมูลแล้ว โดยสัญญามีความแตกต่างกันอยู่ ทำไมไม่ทำเหมือนกัน สัญญาเหมือนกันทั้งส่วนต่อขยายที่ 1 และที่ 2 มีแนวคิดอะไรที่เปลี่ยนไปหรือไม่ ทำไมไม่ทำเป็นสัญญา ถ้าทำเป็นสัญญาก็ง่าย ผ่านสภา กทม.มีสัญญา มีการระบุชัดเจนว่าต้องจ่ายเดือนละเท่าไหร่ ก็สามารถทำได้ง่าย แต่พอถามว่าทำไมแบ่งเป็น 2 รูปแบบ ระหว่าง กทม.กับเคที ทั้งที่ลักษณะงานไม่ได้มีความต่างกัน ทำไมถึงไม่ทำเหมือนกัน ก็ต้องไปหาเหตุผล
สุดท้ายก็กลายเป็นงบประมาณที่ต้องจ่ายรายปี สภา กทม.ต้องเห็นก้อนแรกก่อน เหมือนส่วนต่อขยายที่ 1 พอตั้งงบประมาณรายปีที่สอดคล้องกับการอนุมัติไปแล้ว ก็เป็นเหตุเป็นผลกัน ซึ่งจะชงเข้าสภา กทม. สัปดาห์หน้า ตั้งอนุกรรมการ ย้ำต้องดูกฎหมายให้ดี