วันที่ 1 ส.ค.65 นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา หัวหน้าศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ โพสต์เฟซบุ๊ก Thiravat Hemachudha ระบุข้อความว่า...
ติดโควิดได้รับยาต้านไวรัสไปแล้ว กลับมาใหม่อีก
อย่าตื่นตระหนก ไม่ได้เป็นทุกราย และมีภาวะส่งเสริม มีสายด่วน สธ และ สปสช
การรายงานจากสหรัฐโดยวิเคราะห์ข้อมูลระหว่างวันที่ 1 มกราคม 2022 ถึงวันที่ 8 มิถุนายน 2022 ซึ่งเป็นช่วงของโอไมครอน
รักษาด้วย paxlovid 11,270 รายหรือรักษาด้วย molnupiravir 2,374 ราย ภายในระยะเวลาห้าวันหลังจากมีการติดเชื้อ
การกลับมาใหม่ หรือ rebound มีสามลักษณะคือ
1)มีเชื้อกลับมาใหม่ จากการตรวจ
2) มีอาการกลับมาใหม่ ได้แก่ ไข้ หนาวสั่น ไอ หายใจไม่เต็มอิ่ม เหนื่อยล้า ปวดกล้ามเนื้อปวดหัว เจ็บคอ จมูกคัด น้ำมูกไหล ไม่รับรส กลิ่น อาเจียน ท้องเสีย ผื่น
3) ต้องเข้าโรงพยาบาล
ลักษณะที่กลับมาใหม่ไม่แตกต่างกันของการใช้ยา paxlovid หรือ molnupiravir
คนที่มีโรคประจำตัวจะมีการกลับมาใหม่มากกว่า
สำหรับ paxlovid
ที่ 7 วัน และ 30 วัน
ลักษณะที่หนึ่ง 3.53% และ 5.4%
ลักษณะที่สอง 2.31 % และ 5.87%
ลักษณะ ที่ สาม 0.44% และ 0.77%
…………………
สำหรับ molnupiravir
ที่ 7 และ 30 วัน
ลักษณะที่หนึ่ง 5.86% และ 8.59%
ลักษณะที่สอง 3.75% และ 8.21%
ลักษณะที่สาม 0.84% และ 1.39%
………………..
เมื่อดูผิวเผิน คล้ายกับการใช้ molnuvipavir จะมีการกลับมาใหม่มากกว่า
แต่เมื่อวิเคราะห์ propensity score matching ซึ่งเป็นวิธีจัดการกับ ตัวแปรและปัจจัยต่างๆเพื่อให้มีความน่าเชื่อถือแม่นยำมากขึ้นในการระบุความเสี่ยง
จะพบว่า ความเสี่ยงระหว่างการใช้ยาทั้งสองชนิดนี้ไม่แตกต่างกันแต่ขึ้นกับ ภาวะหรือโรคประจำตัวของผู้ติดเชื้อ
มีโรคหัวใจ ความดันสูง มะเร็งโรคอัมพฤกษ์ โรคปอด โรคไตโรคตับ อ้วน เบาหวาน โรคทางระบบภูมิคุ้มกัน การได้รับการเปลี่ยนถ่ายอวัยวะ รวมถึงการให้ยาต้านภูมิคุ้มกัน
และไม่เกี่ยวพันกับการได้รับวัคซีนหรือไม่
………………………..
สาเหตุกลไกของการกลับมาใหม่ “ไม่ทราบแน่ชัด” แต่อาจเกี่ยวเนื่องกับการรักษาไม่สามารถกำจัดไวรัสไปได้อย่างหมดจด หรือไวรัสดื้อยา?
…………………………
อย่างไรก็ตาม การให้ยาต้านไวรัสอย่างสมเหตุสมผล ตามลักษณะของอาการที่เป็นมากขึ้น โดยในคนไทยที่ใช้ฟ้าทะลายโจรแล้วนั้น ไม่ดีขึ้นภายในระยะเวลาสองวัน
มีความจำเป็นต้องใช้ยาต้านไวรัส เพื่อป้องกันไม่ให้อาการหนักมากขึ้นจนกระทั่งถึงต้องเข้าโรงพยาบาล