จากการกลับมาของสายการบินระหว่างประเทศ และการเริ่มบินเส้นทางการบินระหว่างประเทศที่สำคัญ ทำให้จำนวนผู้โดยสารขาเข้าของแต่ละประเทศที่เริ่มทยอยเปิดประเทศเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ทั้งบาหลี มาเลเซีย และประเทศสิงคโปร์ โดยแต่ละประเทศต่างมีแผนการดำเนินงานหลังจากวิกฤตโควิดได้อย่างน่าสนใจ

เที่ยวบินเป็นปัจจัยสำคัญฟื้นฟูท่องเที่ยว

โดย ณัฐินีฐิติ ภิญญาปิญชาน์ ผู้แทนภาคพื้นการท่องเที่ยวอินโดนีเซียประจำประเทศไทยและอินโดจีน กล่าวว่า ช่วงเดือนมิถุนายน สนามบินบาหลีได้ต้อนรับผู้โดยสารทั้งหมด 1,110,723 คนโดยตัวเลขเพิ่มขึ้น 157%เมื่อเทียบกับปี 2564  ซึ่งเดินทางมายังอาคารผู้โดยสารทั้งในประเทศและระหว่างประเทศ เมื่อดูจากตัวเลขของปีนี้จนถึงปัจจุบัน สนามบินบาหลีได้ให้บริการผู้โดยสารรวมทั้งหมด 4,297,277 คน โดยมีนักท่องเที่ยวชาวไทยราว 4,000 คน เดินทางเข้าบาหลีนับตั้งแต่การเปิดประเทศอินโดนีเซียต้อนรับนักท่องเที่ยวทั่วโลกอย่างเป็นทางการตั้งแต่วันที่ 7 มีนาคม 2565            

ขณะที่ นายซานดิอาก้า อูโน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจสร้างสรรค์ของอินโดนีเซีย  กล่าวว่า ได้กำหนดเป้าหมายในช่วงเวลาที่เหลือของปี หวังต้อนรับนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศจำนวน 1.5 ล้านคนที่จะมาเยือนบาหลีก่อนสิ้นปีนี้ ซึ่งรวมถึงนักเดินทางในประเทศจำนวน 7 ล้านคน ตามรายงานของหนังสือพิมพ์ Bali Tribune สนามบินบาหลีมีเป้าหมายโดยรวมที่จะให้บริการผู้โดยสารกว่า 9 ล้านคนในปี 2565 พร้อมลุยตั้งเป้ารับนักท่องเที่ยว 9 ล้านคนภายในปี 2565

โดยข้อมูลในเดือนมิถุนายน สนามบินบาหลีต้อนรับผู้โดยสารทั้งหมด 745,528 คน และผู้โดยสารขาเข้าระหว่างประเทศ 365,465 คน ผู้โดยสารเหล่านี้เดินทางมาถึงบาหลีด้วยเครื่องบิน 5,105 ลำที่ให้บริการเส้นทางการบินภายในประเทศอินโดนีเซีย และเที่ยวบินระหว่างประเทศ 1,924 เที่ยวบิน สนามบินรองรับผู้โดยสารเฉลี่ย 37,000 คนต่อวัน โดย 2 ใน 3 เป็นนักเดินทางภายในประเทศ จำนวนเที่ยวบินเฉลี่ยต่อวันคือ 234 เที่ยวบิน

ปัจจุบัน สนามบินบาหลีให้บริการ 21 เส้นทางการบินโดย 10 สายการบินและ 19 เส้นทางการบินระหว่างประเทศไปยังประเทศต่างๆ รวม 11 ประเทศ ทำให้การเดินทางไปบาหลีสะดวกสบายขึ้นมากสำหรับนักท่องเที่ยว ในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมามีการแสดงข้อมูลที่ชี้ให้เห็นว่าความต้องการเที่ยวบินมีมากกว่าการให้บริการเที่ยวบิน จำนวนเที่ยวบินที่เพียงพอสำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติจึงเป็นปัจจัยสำคัญในการฟื้นฟูการท่องเที่ยวของบาหลี

โดยชาวต่างชาติสามารถเดินทางเข้าบาหลีได้โดยไม่ต้องกักตัว เพียงได้รับวัคซีนอย่างน้อย 2 เข็ม แต่หากจะเดินทางภายในประเทศต้องได้รับวัคซีนเข็มที่สาม มิฉะนั้นต้องทำการทดสอบ PCR ภายใน 3 วันก่อนเดินทางไปยังเมืองอื่นๆภายในอินโดนีเซีย ส่วนนักท่องเที่ยวไทยสามารถเดินทางเข้าบาหลีโดยไม่ต้องขอวีซ่า (Visa-Free Special Visit) และต้องแสดงหลักฐานการฉีดวัคซีนครบโดสเมื่อเดินทางเข้าประเทศ แม้ว่าในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาจำนวนผู้ติดเชื้อล่าสุดที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นก็ตาม ซึ่งทางอินโดนีเซียได้ขอความร่วมมือจากนักท่องเที่ยวทุกคนให้รักษาแนวปฏิบัติด้านสุขภาพภายในสนามบินและการเดินทางท่องเที่ยวในอินโดนีเซียเพื่อความปลอดภัยของทุกคน

ปรับเป้านทท.ต่างชาติหลังแนวโน้มดีขึ้น

ขณะที่ประเทศมาเลเซียจากเดิมตั้งเป้าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในปี 2565 ไว้ที่ 2 ล้านคน แต่หลังจากเห็นผลตอบรับที่ดีจากนโยบายเปิดประเทศรัฐบาล จึงได้ปรับเป้าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเป็น 4.5 ล้านคน โดยจะดูแนวโน้มของจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ปรับตัวดีขึ้นตามลำดับในเดือนกันยายน 2565 นี้อีกครั้ง และการดำเนินงานของหลาย ๆ ประเทศที่มีแผนเปิดประเทศเพิ่มขึ้น เช่น บรูไน ที่มีแผนเปิดประเทศเต็มรูปแบบในวันที่ 1 สิงหาคม 2565 หรือเกาหลี ญี่ปุ่น ที่มีแผนจะเปิดเร็ว ๆ นี้ด้วย

อย่างไรก็ตามในปัจจุบันนี้นักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้าไปท่องเที่ยวสูงสุดอันดับ 1 คือประเทศ สิงคโปร์ รองลงมาคือ ไทย และอินเดีย สำหรับกลุ่มนักท่องเที่ยวคนไทยที่เดินทางไปเที่ยวมาเลเซียนั้นส่วนใหญ่เป็นกลุ่มเดินทางซ้ำ ดังนั้นทางรัฐบาลมาเลเซียจึงมีแผนที่จะนำเสนอสินค้าใหม่ ๆ ด้านการท่องเที่ยวให้มีความหลากหลายขึ้น รวมถึงส่งเสริมการท่องเที่ยวมะละกา ซึ่งเป็นเมืองมรดกโลก พร้อมทั้งงโปรโมตเกาะลังกาวี ซึ่งเป็นพื้นที่นำร่องเปิดประเทศ เป็นต้น

เตรียมเปิดบริการอาคารผู้โดยสารรับนทท.

พร้อมกันนี้ยังมีรายงาน จาก  ชางงีแอร์พอร์ทกรุ๊ป ได้เตรียมกลับมาเปิดให้บริการอาคารผู้โดยสารหลังที่ 4 ของท่าอากาศยานนานาชาติชางงี ในวันที่ 13 กันยายนนี้ หลังจากปิดให้บริการมาตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2563 เนื่องจากสถานการณ์โควิด-19 ทำให้จำนวนนักเดินทางลดลง ซึ่งการกลับมาเปิดอาคารผู้โดยสารหลังที่ 4 อีกครั้ง จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการรองรับผู้โดยสารของสนามบินมากขึ้น และรองรับการเพิ่มเที่ยวบินของสายการบินต่าง ๆ ที่มีมากขึ้น

ซึ่งยังมีรายงาน ต่อว่า สายการบินจำนวน 16 แห่งเตรียมย้ายจุดบริการไปยังอาคารผู้โดยสารหลังที่ 4 ในช่วงเดือนกันยายนและตุลาคม เริ่มต้นโดยสายการบินคาเธ่ย์ แปซิฟิคและโคเรียนแอร์ ในวันที่ 13 กันยายน สายการบินในกลุ่มแอร์เอเชียกรุ๊ป ในวันที่ 15 กันยายน ส่วนสายการบินจุ่นเหยา แอร์, เจจูแอร์, แบมบู แอร์เวย์ส และฮ่องกง เอ็กซ์เพลส แอร์เวย์ส ในวันที่ 20 กันยายน ด้านสายการบินเวียดนามแอร์ไลน์ส, เวียตเจ็ทแอร์และไทยเวียตเจ็ทแอร์ จะย้ายมาในวันที่ 22 กันยายน ด้วยอาคารผู้โดยสารหลังที่ 4 ถือเป็นอาคารผู้โดยสารหลังใหม่ที่สุดของท่าอากาศยานชางงี รองรับผู้โดยสารได้สูงสุด 16 ล้านคนต่อปี