"กระดูก" คืออวัยวะที่แข็งแรงที่สุดของร่างกาย แต่ความแข็งแรงนั้นย่อมเสื่อมถอยลงตามเวลาของการใช้ เช่นเดียวกับโรคที่มาพร้อมกับความสูงวัย และค่าใช้จ่ายทางสุขภาวะที่นับวันยิ่งมากขึ้นตามจำนวนประชากรในกลุ่มผู้สูงวัยที่นับวันยิ่งเพิ่มมากขึ้น ในขณะที่อุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ต้องอาศัยการนำเข้ามีราคาสูง

ในการผ่าตัดข้อเทียมนั้น ค่าใช้จ่ายจะมากหรือน้อย นอกจากขึ้นอยู่กับการเลือกคุณภาพของวัสดุที่ใช้ทำข้อเทียมแล้ว ยังขึ้นอยู่กับอุปกรณ์อื่นๆ ที่ช่วยในการผ่าตัดด้วย

ด้วยความพยายามของ "ทีมแพทย์นวัตกร" ของคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ในการคิดค้นอุปกรณ์ช่วยวัดตำแหน่งการผ่าตัดเปลี่ยนข้อสะโพกเทียม ทำให้วันนี้ ผู้ป่วยสูงวัย ซึ่งเป็นผู้ป่วยกลุ่มหลักที่ต้องเข้ารับการผ่าตัดดังกล่าวยิ้มได้

รองศาสตราจารย์ นายแพทย์ปพน สง่าสูงส่ง ภาควิชาออร์โธปิดิกส์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดีมหาวิทยาลัยมหิดล และทีมวิจัย ได้คิดค้น "นวัตกรรมอุปกรณ์ช่วยวัดตำแหน่งผ่าตัดสำหรับเปลี่ยนข้อสะโพก" ซึ่งได้ดำเนินการยื่นจดทะเบียนทรัพย์สินทางปัญญาแล้วโดยสถาบันบริหารจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรม (iNT) มหาวิทยาลัยมหิดล กำลังทำให้ความฝันที่จะเห็นผู้ป่วยสูงวัยที่ต้องเข้ารับการผ่าตัดสำหรับเปลี่ยนข้อสะโพก ได้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นใกล้เป็นจริง ซึ่งนับเป็นหนึ่งในความภาคภูมิใจของ มหาวิทยาลัยมหิดล ในฐานะ "ปัญญาของแผ่นดิน"

จากประสบการณ์ทำงานในห้องผ่าตัด และใจรักในการเป็น"แพทย์นวัตกร" ได้ทำให้ รองศาสตราจารย์ นายแพทย์ปพนสง่าสูงส่ง และทีมวิจัย ได้หยิบยกปัญหาและอุปสรรคจากการทำงาน มาแปรเปลี่ยนเป็นพลังสู่การสร้างสรรค์ชิ้นงานนวัตกรรมที่ไม่มีความซับซ้อน และสามารถแก้ไขปัญหาหน้างานได้โดยไม่จำกัดสถานที่

เริ่มต้นจากการพบว่า การวัดตำแหน่งผ่าตัดสำหรับเปลี่ยนข้อสะโพกที่เคยทำกันมาประกอบด้วยอุปกรณ์ที่ยุ่งยาก ราคาแพง และมีใช้กันเฉพาะโรงพยาบาลใหญ่ จึงได้ร่วมกับคณาจารย์จากคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดลคิดค้นอุปกรณ์อย่างง่ายขึ้นใช้เอง โดยมีส่วนประกอบหลักเพียง 2 ส่วน คือ โมเดลอุปกรณ์ข้อเทียมที่ขึ้นรูปผ่านเครื่องพิมพ์ 3 มิติ และเซนเซอร์แบบจำเพาะที่ใช้งานร่วมกับโปรแกรมควบคุม

แม้ "นวัตกรรมอุปกรณ์ช่วยวัดตำแหน่งผ่าตัดสำหรับเปลี่ยนข้อสะโพก" ในปัจจุบันจะได้จัดทำเป็นโมเดลต้นแบบที่ผ่านการทดสอบความแม่นยำในเบื้องต้นแล้ว แต่ยังไม่ได้ใช้รักษาในผู้ป่วยจริง คาดว่าเมื่อผ่านขั้นตอนต่างๆ จนเสร็จสิ้นสมบูรณ์แล้ว จะสามารถใช้ได้จริงในอีก 2 - 3 ปีข้างหน้า