ปากกาขนนก / สกุล บุณยทัต
“ความเป็นแผ่นดินอาศัยในโลกที่หวั่นไหวซับซ้อน ถือเป็นปรากฏการณ์แห่งเจตจำนงที่ยากจะเลี่ยงพ้นของยุคสมัย มันเป็นทั้งภัยพิบัติในโครงสร้างทางจิตวิญญาณ เป็นหายนะของอุบัติการณ์อันบริสุทธิ์ หรือ เป็นแม้กระทั่งความไร้เดียงสามัญที่อ่อนหัด...ทุกๆสิ่งที่ได้กล่าวถึงมา...คือสาระเรื่องราว และ แก่นแกน ของการเดินทางที่ว่ายวนอยู่กับความวกวนที่ซ่อนเงื่อนซ่อนปมอยู่กับ “ความจริงแท้แห่งความจริงลวงที่ลวงตาจนมือบอด “และนั่นคือต้นธารของการสถาปนารากเหง้าแห่งดอกใบของทาบเงาชีวิตที่ซ้อนซับ...อันไม่สิ้นสุด”
เงาสะท้อนจากการอ่านเพื่อการค้นพบในหนังสือรวมบทกวีเล่มใหม่ของ”ศิริวร แก้วกาญจน์”...”ประเทศในเขาวงกตและบริบทอื่นๆ” ผลงงานแห่งประพันธกรรมล่าสุดของเขา ส่องความหมายถึงฤดูกาลของชีวิต ในอารมณ์ที่เที่ยงแท้แห่งห้วงขณะของความรู้สึกที่ปรวนแปรไปด้วยทาสของความคิด... ท่ามกลางนิวาสถานของลมหายใจที่ยืนยันถึงการตั้งอยู่ ณ ตำแหน่งแห่งที่ที่ยากจะสัมผัสได้...
“ในเขาวงกตนั้น..มันคือกลไกแห่งการตีความของมวลมนุษย์...เป็นในสิ่งที่ควรเป็นและไม่น่าจะเป็นอยู่เช่นนั้น...ยุ่งยากซับซ้อน วกวนคดเคี้ยว...มีเส้นทางเข้าออกอยู่หลายสายทาง เพื่อจุดประสงค์ที่ซ่อนเร้นบางอย่าง”
ผลลัพธ์แห่งการเดินทางเพื่อใช้ชีวิตในทุกย่างก้าวก็เช่นเดียวกัน ...มีความแปรผันเคียงคู่อยู่ ถ้าไม่เรียนรู้หยั่งคิดเพื่อตระหนักรู้ ชีวิตก็อาจตกหล่มและต้องตายไปกับมุมมองของความเปล่าเปลืองที่สูญค่า ...เหตุนี้เพียง “แค่พลิกเปลี่ยนมุมมอง” คุณค่าแห่งความประจักษ์แจ้งในชีวิตก็ย่อมกระจ่างชัดขึ้นในมโนสำนึกที่แท้จริง...
“แค่พลิกเปลี่ยนมุมมอง ภาพสองภาพ / อาจบางมุมคือบ่วงบาป ความหยาบบ้า/อีกบางมุมอาจสว่างกระจ่างตา/อยู่ที่ใครไขว่คว้าคุณค่าใด/...
“แค่พลิกเปลี่ยนมุมมอง เรื่องสองเรื่อง/ อาจคือเงาเปล่าเปลืองเรื่องหมั่นไส้/หรืออาจคือแสงหวัง พลังใจ/ปรับมุมมองเก่าใหม่ ไปด้วยกัน”
“แค่พลิกเปลี่ยนมุมมอง โลกสองโลก/ดาบชิงชังเลือดโชก เพลงสั้นสั้น/ หรือโอบกอดแม่ลูก ความผูกพัน/ สวนสวะสวนสวรรค์ อาจชั้นเดียว...!”
ในภาวะที่สรรพความหมายของชีวิตต่างเดินทางอยู่กับความซับซ้อนวกวนบนโลกใบนี้ ความเปรียบผ่านการแสวงหาศรัทธาอันสุขสงบ จึงไพล่ทำให้เราต้องคิดไปถึงว่า...จริงๆแล้วยังมีโลกอีกหลายๆใบ ให้เราได้ศึกษา มันคือการก้าวออกจากภาวะสมมติอันเคยชิน พ้นจากความดานดักไปสู่พื้นที่ชีวิตแห่งการรับรู้และเรียนรู้วิถีใหม่...
“ยังมีโลกอีกหลายใบ ให้เราได้ศึกษา/เปิดหูเปิดตา อ่านแดดลม อ่านฟ้า อ่านดิน”
“อ่านโลกใบอื่น ลืมตาตื่น นอกพื้นถิ่น/นอกสังกัดศรัทธาเคยคุ้นชิน/นอกสี นอกกลิ่นอันคุ้นเคย”
“แลกเปลี่ยนเรียนรู้ ลับทื่อที่ทู่ทู่นอกรูพังเหย/ลองลิ้มรสชาติขนม นมเนย ต่างจากที่เคยกิน “
“ยังมีโลกอีกหลายใบ ให้เราเรียนรู้ มิรู้สิ้น/เลิกปิดตาปิดหู มิรู้ยินออกจากความเคยชิน เชยเชย/
“เลิกดักดานคลานคู้อยู่บนดิน เราอาจบินได้เหมือนนก”
บทกวีแห่งกระบวนการประพันธ์ของ “ศิริวร” ในชุดนี้ เสมือนดั่งคำสอน ให้ชีวิตเคลื่อนขยายก้าวไปเบื้องหน้า...เป็นการทดสอบ และทดลองความจริง ในทุกๆเงื่อนปมที่ติดค้างอยู่กับเบื้องหลังของภาวะอันซ้อนซับ ดำดิ่งอยู่ใต้การมอมเมา..มันเป็นข้อสังเกตการณ์ที่กลายเป็นแรงขับเคลื่อนสู่การตีความใหม่ที่เกินจะยั้งหยุดได้...
“คงจะเป็นเพราะว่าดวงตาคู่ใหม่/เป็นหนทางกว้างไกล จุดไฟฝัน/จึงลุกยืนตื่นตามายืนยัน/ชูมือเชื่อมั่น เหนือการมอมเมา”
“สิ่งที่ซ่อนเร้นในความเป็นเด็ก/คือผู้ใหญ่ตัวเล็ก ไม่ขลาดเขลา/ต่างกับเรา ต่างกับเราเรา/เป็นวัตถุเก่า เขรอะคร่ำ ชำรุด”
สิ่งที่อยู่เบื้องหลังของเด็กเด็ก/คือความฝันดวงเล็กเล็กผ่องผุด/รวมทั้งมือทุกมือที่ยื้อยุด/กลายเป็นพลัง,เกินยั้งหยุด เกินฉุดรั้ง”
“สิ่งที่อยู่เบื้องหลังของเด็กเด็ก/คือความหวังเล็กเล็กถูกดับหวัง/คือทุกความเลอะเทอะ ทุกเกรอะกรัง/และเสียงสิทธิ์ถูกปิดบังด้วยอบาย”
สำเนียงแห่งบทกวีของ”ศิริวร”สอดผสานไปด้วยถ้อยคำและถ้อยความอันสื่อสัมผัส...มันเต็มไปด้วยถ้อยคำที่ติดตันและเป็นคำตายที่เต็มไปด้วยพลังของการสกัดกั้นความรู้สึกแห่งอารมณ์รับรู้...เชื่อมโยงการเลือกใช้ถ้อยคำเช่นนี้กับใจความที่แฝงฝังไว้ด้วยสัมผัสรู้สึก ทำให้สำเนียงแห่งความหมายของบทกวี กลายเป็นสัญญะแห่งการประทับตรา สิ่งที่อยู่เบื้องหลังให้บังเกิดเป็นแสงสว่างของสัจพจน์ ณ เบื้องหน้าได้...และนั่นจึงคือกลไกแห่งการตีความเชิงซ้อน อันชวนทวนถามกันอย่างจริงจัง...
“นอกบ่วงแร้วและแนวรบ/มูมมามบนซากศพ สกปรก/น่ารักนักหรือนรก?/กระดานหก กระดกกระดูกผูกเงื่อนปม”
“ในบ่วงแร้วและแนวรบ/ เราควรทวนทบ หรือโถมถม /ยกย่าง ย่ำย้ำต่ำตม/หรือล้างเมือกโสมม สามานย์”
“ให้กระดูกก่ายกอง เป็นทองคำ?/หรือเพิ่มพูนคูณค้ำเป็นรากฐาน/ไล่หลังบ่าแบกแอกอาน/เขาเสพร่ำสำราญอยู่ด้านบน”
“เราควรทวนถามหรือไม่?/ไหนฟืนไฟ ไหนฟ้าฝน?/กระสุน เชือก ความชิงชังในวังวน?/ลืมเสาะหาประชาชนในตนเอง!”
ยิ่งเดินทางลึกเข้าไปในเขาวงกต ความซับซ้อนก็เหนี่ยวรั้งให้ถ้อยคำเกิดอำนาจในการเผชิญหน้ากับความรู้สึกที่อำพรางถึง หลืบซอกภายใน ...มวลสำเนียงในทางภาษาที่เหลื่อมซ้อนกันอย่างใกล้เคียง ก็ตอกย้ำและปลุกตื่นเรา...ให้รำลึกถึงภาษาของการโดนกระตุ้นเตือนจากภายใน...ลีลาชีวิตของบุคคลและเหตุการณ์นานา เหมือนถูกขึงพรืดเบิกประจานการกระทำ...อยู่ตรงหน้า มันคือสภาวะที่บาดคม...สภาวะที่ทำให้เราได้ครวญใคร่และจดจำในเนื้อหาแห่งภาพแสดงอันชวนขื่นขมและโหยไห้นั้น....
“ที่กูอยู่, ดูสิ ที่กูอยู่/มึงจะรู้ ว่านรก และสวรรค์/แท้อยู่ใกล้ชิดติดกัน/แค่เปิดม่านกั้นหัวใจ”
“หยุดเว้วเว้ว ปาวปาวคนเท่ากัน/ลวงมาจากสรวงสวรรค์อันไสว/กูไม่อยากปาวปาวให้เท่าใคร/แค่อยากให้มึงเห็นกูเป็นคน!”
“บทกวี.”..ล้วนมีโศกนาฏกรรมแฝงร่างอยู่อย่างทุกข์เศร้า...นั่นคือสิ่งที่เห็นและประจักษ์ที่ไม่มีใครอยากเห็นและหยั่งเห็น..ถึงต้นรากของความเจ็บปวดนั้น หลายๆบทตอนแห่งบทกวีในเล่มนี้ของ”ศิริวร”แม้จะท่วมท้นไปด้วยแรงขับของสายตาแห่งความเป็นศัตรู...แต่ก็ยังมีความหวังอันบริสุทธิ์เป็นลมหายใจอันควรค่าและชวนสรรเสริญของกวีปรากฏอยู่...เป็นความยืนยัน มั่นคง...!
“ไปให้พ้น../วาทกรรม วาทกลร่วมสมัย/ข้ามเปือกตมหล่มโคลน หลุมหล่มใคร/ที่แห่แหนแล่นไหลไปตามกัน”
“ยืนยัน มั่นคง/นรกสูงส่ง/ต่ำใต้คือสรวงสวรรค์/ไม่จำนนต่อวาทกรรมจำนรรจ์/ย่ำเท้าเท่าทันทุกบันทึก”
“ไปให้พ้นฝักฝ่าย!/ความหมาย ตรรกะ ตกผลึก/ดิ่งตรงลึก! ดิ่งตรงลึก!/ผนึกคุณค่าฐานะมนุษย์”
“ไปให้พ้น ...ไปให้ให้พ้น!/เกมกลใครๆไปปักหมุด/ไกลจากร่องรูเคยคู้คุด/มืดมิดหวัง อย่ายั้งหยุดจุดจ่อไฟ!”
จากบทเริ่มต้นแห่งบทกวีชุดนี้”ต่อ”ที่ทางโลกกว้างไกล”ผ่านมาสู่”ในบ่วงแร้วและแนวรบ”.ไปจนถึง”ขอบฟ้าอนาคต”บทกวีในทั้ง3ส่วนนี้...ล้วนคือ”ภาษาภาพ”(Figurative Language)...ภาษาแห่งการประพันธ์ที่ทำให้เกิด ความหมายหรือผลลัพธ์ที่ต้องการเป็นพิเศษ อาจจะด้วยการเล่นความหมายของคำ การสร้างประโยค สร้างถ้อยคำ หรือ การลำดับคำ รวมถึงการสร้างภาพด้วยคำ การเล่นคำด้วยความหมายที่แตกต่างกัน หรือการเรียงถ้อยคำที่ร้อยถ้อยคำขัดกับความรู้สึกนึกคิดโดยทั่วไป ทางการรับรู้..
“นักต่อสู้ที่แท้จริงจะเปล่งแสงด้วยตนเอง/เขาจึงไม่จำเป็นต้องแสดงให้ใครๆเห็น/ว่ามีแสงอยู่ในกำมือ/นักต่อสู้ที่แท้จริง ไม่จำเป็นต้องบังคับเรียกร้องใครอื่นให้ยืนหลังตรง/แต่เขาจะยืนขึ้นอย่างสง่างามด้วยตัวเอง/จนทุกสายตามุ่งตรงไปยังเขา/กระทั่งทุกคนต้องลุกยืนตามด้วยความสง่า/”
“ในกติกาประชาธิปไตย/ไม่จำเป็นต้องไปข่มใครให้กินหญ้า/เช่นพวกเผด็จทั้งหลาย/ใครจะตื่นใครจะหลับ/ประวัติศาสตร์ไม่เคยหลับหูหลับตาบันทึก/ก็มีแต่นักสู้จอมปลอมที่หูดับหลับตา/ชอบเอาปากกามาวงชีวิตใครต่อใคร/เพื่อแสดงให้ใครๆเห็นว่า/ตนเองมีความเป็นมนุษย์มากกว่าคนอื่น/...นักต่อสู้ที่แท้จริงจะลุกยืนด้วยตนเอง/..เปล่งรัศมี สง่างาม”
ที่สุดแล้ว... “ประเทศในเขาวงกต” ก็ทำให้เราได้เห็นแสงที่ปรากฏอยู่ในมือและสำนึกคิดของ”ศิริวร”รวมทั้งแสงนั้นๆ จะค่อยๆซึมซับให้เห็นในกำมือที่โดนปิดกั้นมาโดยตลอดของเรา...สัญญาณแห่ง”โยงใยที่ซ่อนเร้น”ก้าวขึ้นมาอยู่เหนือวิถีจริตอันผุกร่อน... มันยืนขึ้นและย่างเหยียบไปข้างหน้าด้วยศรัทธาอันหาญกล้าแห่ง”บริบทอื่นๆ”...ที่เป็นของทั้งตัวตน และคนอื่น ....อยู่ดั่งนั้น!!!
“นอกสวนดอกไม้ของเรา...มีสวนดอกไม้ของคนอื่น/นอกศรัทธาของเรา มีศรัทธาของคนอื่น/นอกอำนาจพระเจ้าของเรา มีอำนาจพระเจ้าของคนอื่น/นอกความงามของเรา มีความงามของคนอื่น/นอกความบ้าคลั่งของเรา มีความบ้าคลั่งของคนอื่น/ นอกประวัติศาสตร์ของเรา มีประวัติศาสตร์ของคนอื่น....”