จากกรณีเมื่อวันที่ 19 ก.ค.ผ่านมาที่หน่วยเรือรักษาความสงบเรียบร้อยตามลำแม่น้ำโขง สถานีเรือ นรข.บึงกาฬ น.อ.ราฆพ เทวะประทีบ ผบ.นรข.เขตหนองคาย มอบหมายให้ น.ท.สุรไกร รัตนกุสุมภ์ หน.ยก.นรข.เขตหนองคาย ร่วมกับพ.ต.ต.หญิง ชุลีกร  ลิมวิเศษศักดิ์ สว.ตม.บึงกาฬ พ.ต.ต.วิษณุ จินาวงษ์ สว.ตำรวจน้ำ นายนายอธิภัทร อยู่คุ้มญาติ หน.ฝ่ายปราบปรามฯ ด่านศุลกากรบึงกาฬ น.ส.กมลนิตยกานต์  หาญคำหล้า ผู้ช่วยป้องกันจังหวัด นายภูมินทร์ ศรีโฉม ปลัดฝ่ายป้องกันอำเภอเมืองบึงกาฬ ร่วมกันแถลงจับกุม นายจิระ (นามสมมติ) อายุ 24 ปี ชาว กทม.นายราชา  (นามสมมติ) อายุ 24 ปี ชาว จ.นนทบุรี และนายพงษา อายุ 26 ปี ชาว จ.อุดรธานี ของกลาง กัญชาแห้งอัดแท่ง 203 แท่งน้ำหนัก 203 กิโลกรัม ห่อหุ้มด้วยกระดาษฟอลย์สีทองและสีเหลือง รถยนต์บรรทุกขนาดเล็กด้านหลังทำเป็นตู้ทึบคล้ายรถส่งสินค้า ยี่ห้ออีซูซุ รุ่นดีแม็กซ์ สีบรอนซ์เงิน ทะเบียน 2 ฒช 9288 กรุงเทพมหานคร และโทรศัพท์มือถือ 3 เครื่อง จึงยึดไว้เป็นของกลางแจ้งข้อหา“ร่วมกันนำของต้องห้ามต้องกำกัดเข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ผ่านพิธีการทางศุลกากร”

ทั้งนี้จากการสืบทราบของ พล.ร.ต.สมบัติ จูถนอม ผบ.นรข.ว่าจะมีการลักลอบนำยาเสพติดประเภท 5 มาจากประเทศเพื่อนบ้านมาส่งมอบให้กลุ่มผู้ค้าชาวไทย ที่บริเวณริมแม่น้ำโขงใกล้เมรุเผาศพ บ้านห้วยดอกไม้ หมู่ที่ 4 ต.โคกก่อง อ.เมือง จ.บึงกาฬ จึงได้สั่งการให้ น.อ.ราฆพ เทวะประทีป    ผบ.นรข.เขตหนองคาย สั่งการให้ น.ท.การันต์ มินวงษ์ หน.สน.เรือบึงกาฬ ร.อ.อุดม บัวสุข ผค.เรือ รตล.ร.ท.ไชยา เนียมแสง ผค.เรือ รตล.สน.เรือบึงกาฬ สนธิกำลังกับ ร.ต.อ.สมพงษ์ พบวันดี รอง ผบ.ร้อย ตชด.244 ด.ต.เอกชัย รอดสวัสดิ์ ด.ต.ธนวรรธน์ จันอ้วน ผบ.หมู่ ป.ตม.ไพโรจน์ ลับดี ด.ต.จักรพันธ์ ปานจันทร์ ผบ.หมู่ ป.ตำรวจน้ำ จ.ส.อ.ศักดิ์นภา ชมภูราช ทหารร้อยสกัดกั้นที่ 2 กองร้อยสกัดกั้นและปราบปรามยาเสพติด วางแผนร่วมกันจับกุม เวลาประมาณ 05.00 น.ขณะที่ซุ่มรออยู่พบรถยนต์ต้องสงสัยวิ่งเข้ามาจอดบริเวณข้างเมรุเผาศพ บ้านห้วยดอกไม้ จึงได้เฝ้าสังเกตพฤติการณ์ จนกระทั่ง ได้ยินเสียงเครื่องยนต์ของเรือแล่นข้ามน้ำโขงเข้ามาจอดริมฝั่งแม่น้ำโขงห่างจากจุดซุ่ม100 เมตร ขณะใช้กล้องส่องกลางคืนดูเมื่อเรือลำดังกล่าวเข้าจอดริมตลิ่ง มีชายฉกรรจ์แบบกระสอบต้องสงสัยขึ้นมากองไว้ริมตลิ่ง เสร็จแล้วเรือลำดังกล่าวได้แล่นกลับไปยังฝั่ง สปป.ลาว ทันที ต่อมาชาย 2 คนที่มากับรถยนต์คันดังกล่าว ได้เปิดประตูรถเดินลงไปยังจุดที่คนบนเรือโยนกระสอบต้องสงสัยทิ้งเอาไว้ แล้วเดินกลับมายังรถเหมือนเดิม สมทบกับชายอีกคนรวมเป็น 3 คนกำลังจะเดินลงไปแบกเอากระสอบต้องสงสัย 5 กระสอบ เจ้าหน้าที่จึงแสดงตัวเข้าจับกุมได้ทั้ง 3 คนดังกล่าว


    จากการสอบสวนเบื้องต้น นายณัฐพงษ์ ให้การรับสารภาพว่าได้รับการติดต่อจากนายโอ๋ ไม่ทราบชื่อนามสกุลจริง ให้มารับกัญชาที่ จ.บึงกาฬ โดยจะได้รับค่าจ้างคนละ 10,000 บาท รวมเป็น 30,000 บาท โดยให้ขนไปส่งบริเวณพื้นที่ จ.นนทบุรี จึงได้ชักชวนเพื่อนมาด้วยกันรวมเป็น 3 คน โดยใช้รถยนต์ของนายนัคราช เป็นพาหนะในการลำเลียงออกจาก กทม.เมื่อวันที่ 18 ก.ค.เวลาประมาณ 08.00 น.มาถึงบึงกาฬ ประมาณ 1 ทุ่มและนอนรอโทรศัพท์ให้นำรถไปขนกัญชา จึงถูกจับกุมได้เสียก่อน 


    จากการจับกุมผู้ต้องหาทั้ง 3 คนพร้อมกัญชาแห้ง 203 แท่งที่บรรทุกมาในรถกระบะตู้ทึบดังกล่าว ทำให้เกิดปัญหาในทางปฏิบัติ สำหรับพนักงานสอบสวนที่รับเป็นคดีเอาไว้ ว่าจะดำเนินการได้อย่างไรบ้าง เนื่องจากเป็นคดีแรกที่เกิดขึ้นหลังจากปลดล็อคกัญชาแล้ว ผู้ต้องขังที่อยู่ในเรือนจำก็ถูกสั่งปล่อยตัวออกจากคุกทั้งหมด ยกเว้นที่มีคดียาเสพติดประเภท 1 ด้วย เช่นถูกจับทั้งกัญชาและยาไอซ์ แม้จะถูกปล่อยตัวคดีกัญชา แต่ต้องถูกขังในคดียาเสพติดประเภท 1 ต่อไป จนกว่าจะครบกำหนด


    นายนายอธิภัทร อยู่คุ้มญาติ หน.ฝ่ายปราบปรามฯ ด่านศุลกากรบึงกาฬ ได้ให้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์เพิ่มเติมว่า ตามข้อหา“ร่วมกันนำของต้องห้ามต้องกำกัดเข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ผ่านพิธีการทางศุลกากร” ซึ่งเป็นข้อกล่าวหาเดียวที่ด่านศุลกากรบึงกาฬแจ้งไว้ ในข้อหานี้มีอัตราโทษ ปรับไม่เกิน 4 เท่าของมูลค่าสินค้าที่นำเข้ามาโดยไม่ผ่านพิธีทางศุลกากร จำคุกไม่เกิน 10 ปี หรือทั้งจำทั้งปรับ ตาม พ.ร.บ.ศุลกากร มาตรา 242 ปี พ.ศ.2560 ได้แจ้งประเมินราคากัญชาที่จับได้ให้พนักงานสอบสวน สภ.เมืองบึงกาฬไปแล้ว คือประมาณ กก.ละ 3,500-5,000 บาท ต้องรวมภาษีอากร กก.ละ 4.20 บาทและภาษี 7% เข้าไปด้วย จึงเป็นราคาปรับสุทธิ ของกลางมีกัญชาและรถยนต์ต้องริบ ส่วน พ.ต.ท.อ่อนสี สีดามาตย์ พนักงานสอบสวน สภ.เมืองบึงกาฬ เจ้าของคดี ได้ให้ประกันตัว 3 ผู้ต้องหาไปแล้วใช้หลักทรัพย์คนละ 150,000 บาท จะต้องทำสำนวนและรวบรวมพยานหลักฐานส่งพนักงานอัยการพิจารณาต่อไป.