วันที่ 18 ก.ค.65 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อกลางดึกคืนที่ผ่านมา (17 ก.ค.65) นายเอกภพ เหลืองประเสริฐ ผู้ก่อตั้งเพจสายไหมต้องรอด พร้อมทีมงานลงพื้นที่ซอยจตุโชติ 13 เขตสายไหม เพื่อนำยามาให้ นายหนุ่ม (นามสมมติ) อายุ 41 ปี ผู้ป่วยกลุ่ม 608 หลังติดเชื้อโควิด มีอาการเหนื่อยหอบ หายใจแน่นหน้าอก เนื่องจากมีโรคประจำตัวเป็นหอบหืด ความดัน และหัวใจ 

นายหนุ่ม กล่าวว่า ตลอดทั้งวันตนมีอาการอาเจียน ลุกเดินไม่ไหว ปวดตามตัวอย่างรุนแรง และหายใจเหนื่อยมาก ช่วงบ่ายที่ผ่านมา ตนพยามติดต่อโรงพยาบาลตามสิทธิเพื่อขอเข้ารับการรักษา เนื่องจากเป็นผู้ป่วย กลุ่ม 608 แต่ถูก รพ.ปฏิเสธ แจ้งว่าเตียงเต็ม โดยได้รับมาเพียงยาพาราเท่านั้น จากนั้นตนจึงขับรถกลับมาบ้าน โดยระหว่างขับรถกลับต้องจอดแวะข้างทางตลอดเวลา เนื่องจากอาเจียน และหายใจเหนื่อยหอบ เมื่อมาถึงบ้านตนเห็นแม่ ซึ่งมีอายุกว่า 70 ปี จึงไม่กล้าเข้าบ้าน เนื่องจากแม่มีโรคประจำตัวเยอะ คิดว่าหากแม่ติดเชื้ออาจจะมึอาการรุนแรงมาก จึงตัดสินใจขับรถไปนอนในสวนกล้วยข้างทาง โดยคิดว่าหากจะเป็นอะไรก็ขอให้เป็นแค่ตนคนเดียว ต่อมาช่วงค่ำอาการเริ่มหนักขึ้น จึงตัดสินใจร้องขอความช่วยเหลือไปยัง เพจสายไหมต้องรอด ดังกล่าว จากนั่น คุณเอกภพ เจ้าของเพจสายไหมต้องรอด ได้เดินทางมาช่วย

ด้านนายเอกภพ กล่าวว่า เคสนี้ถือเป็นผู้ป่วย กลุ่ม 608 ที่ รพ.ตามสิทธิ ต้องรับรักษา แต่เนื่องจากขณะนี้ทุก รพ.เตียงเต็มหมดแล้ว จึงไม่สามารถเข้ารับการรักษาได้ แต่สิ่งที่ตนแปลกใจคือ ผู้ป่วย กลุ่ม 608 จำเป็นต้องจ่ายยาต้านไวรัสให้ เหตุใดจึงได้เพียง ยาพารา ตนจึงต้องติดต่อ ไปยัง รศ.ภญ.ดร.ยุพดี ศิริสินสุข รองเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช) เพื่อขอรับการสนับสนุนยาต้านไวรัส มาให้ผู้ป่วยทันที เนื่องจากหายปล่อยไว้ผู้ป่วยอาจเป็นหนักถึงขั้นเสียชีวิตได้ พร้อมให้ จนท.ประเมินอาการทุกๆ 4 ช.ม. หากไม่ดีขึ้นจะนำส่ง โรงพยาบาลทันที 

ทั้งนี้ ตนได้ตั้งข้อสังเกตุว่า ไม่ใช่เคสนี้เคสเดียว แต่ยังมีผู้ป่วยกลุ่ม 608 อีกเป็นจำนวนมากที่ไม่ได้รับยาต้านไวรัส เนื่องจากทาง รพ.แจ้งว่า ยาหมด บาง รพ.แจ้งว่า ต้องให้เป็นหนักก่อนถึงจะได้รับยาต้านไวรัส  ตนเห็นว่าหากปล่อยไว้แบบนี้ จะมีผู้ป่วยกลุ่ม 608 นอนตายที่บ้านอีกเป็นจำนวนมากอย่างแน่นอน จึงขอเรียกร้องให้กระทรวงสาธารณะสุข เร่งกระจายยาต้านไวรัสไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้มากที่สุด รวมถึงกลุ่มจิตอาสาที่ช่วยเหลือผู้ป่วยโควิดก็ควรได้รับการสำรองยาต้านไวรัส เพื่อไว้ช่วยเหลือผู้ป่วยด้วยเช่นกัน เพราะกลุ่มจิตอาสาถือว่ามีความใกล้ชิดกับผู้ป่วยมากที่สุด