ปากกาขนนก / สกุล บุณยทัต

“ความงามแห่งจิตวิญญาณ  เป็นนิยามสำคัญในการปลูกสร้างความอ่อนโยนที่เบิกบานให้แก่ชีวิต เป็นเกสรแห่งลมหายใจที่เปิดรับละอองไอที่สาดต้อง ของความเปล่งประกายอันล้ำค่าที่ไม่มีวันจบสิ้นของความเป็นตัวตน เมื่อชีวิตในแต่ละชีวิตได้รู้สึกถึงการปลูกสร้าง เขาและเธอย่อมรู้จักถึงแรงบันดาลใจ ที่เร้นซ่อนอยู่ในห้วงลึกของจิตใจ รู้จักภาวะแวดล้อมที่โอบประคองความผูกพันแห่งกันและกันด้วยรัก และรัก......ยิ่งเมื่อมีการมองออกไป ณ เบื้องหน้า สู่จินตนาการอันไกลโพ้น ชีวิตย่อมต้องรับรู้ถึงเสน่หาอันล้ำค่าของความหมาย ที่เป็นกลีบงามของความสุข ความสุขที่เริงร่าอยู่กับเวิ้งฟ้าของความฝัน ความสุขที่ยั่วล้ออยู่กับแสงฉานของดวงตะวัน ก่อนจะพลิกกลับสู่การหลอมรวมจิตวิญญาณอันบริสุทธิ์ ให้เข้ากับกายที่เปี่ยมเต็มไปด้วยประสบการณ์ เหตุนี้ นัยของการปลูกสร้างทางจิตวิญญาณ จึงค่อยๆผสานสัมพันธ์อันล้ำลึกที่เกี่ยวเนื่องกับวิถีแห่งโลกอันสงบงามของ “คนสวน” ...ผู้หว่านโปรยและดูแลเมล็ดพันธุ์อันเป็นสมบัติของโลก ด้วยจิตแห่งใจอันเปิดกว้าง  รื่นรมย์ และ คงไว้ด้วยมิติแห่งการใคร่ครวญ ดั่งโศลกของการขับเคลื่อนแห่งบทเพลงของการโยกไหวภายใน...ผ่านความทุกข์ด้วยท่วงทำนองแห่งจิตภาวนา...อ้าแขนรับความสุขด้วยอ้อมกอดของความเข้าใจ ...ปรากฏการณ์เช่นนี้ คือดอกผลแห่งสวนของชีวิต ที่สะพรั่งบานไปด้วยมวลดอกไม้แห่งจิตปัญญาที่ขับขานบทเพลงออกมา ด้วยคุณค่าแห่งอารมณ์ที่ถักทอกลิ่นอายอันจรุงจิตแห่งชีวิตที่แท้เอาไว้...”

ผมถือเอาบริบทแห่งสัญชาตญาณของการรับรู้ในความรู้สึกข้างต้น เป็นหน้าต่างดอกไม้ทางความคิด ที่เปิดกว้างสู่ทัศนียภาพแห่งความจริงแท้อันตื่นตระการ...ผ่านจิตวิญญาณของ.....

“คนสวน” (THE GARDENER) รวมบทกวีชิ้นเอกของ “รพินทรนาถ ฐากูร” มหากวีเอกของอินเดีย...ที่วาดแต่งบทกวีรวม 85 บทของเขา ด้วยแรงดลใจอันแจ้งชัดและเจิดจรัส ในนิยามความรักของชายหนุ่มผู้หนึ่งที่มอบตัวตนแห่งตนให้แก่หญิงสาวผู้เป็นความรักด้วยหัวใจ ผ่านรูปรอยแห่งการอุทิศชีวิตสู่การเป็นคนสวนแห่งเธอ...เธอผู้ซึ่งจิตแห่งใจของเขาได้เทิดทูนให้เป็นราชินีของโลกแห่งชีวิตอันเป็นนิรันดร์...

“ฐากูร”...สรรค์สร้างรูปแห่งแบบสื่อผ่านประพันธกรรมของเขาด้วยความหรูหราแห่งภาษา ในเชิงความหมายที่ซาบซึ้งของบทกวีไร้ฉันทลักษณ์(Free Verse)ที่กลั่นออกมาจากอารมณ์อันสุดห้วงของจิตใจที่อิ่มเอม และโชนแสงงามของความรู้สึกจำนวน 85 บท ในแต่ละบท...ฐากูร ในฐานะแห่งความเป็นกวีได้ระบุถึงความอ่อนโยนที่ลึกซึ้งด้านใน อันเป็นผลรวมของ ความคิด จิตใจ และ อารมณ์ ที่แผ่ขยายภาวะแห่งธรรมชาติทั้งในเชิงรูปธรรมและนามธรรมออกมา ด้วยวิถีจริตอันครอบคลุมถึงทุกสิ่ง ในฐานะแห่งมนตราของชีวิต โดยมีชนบทของรัฐเบงกอล ประเทศอินเดียเป็นฉากและชีวิต ของการจุดประกายสู่การเป็นบทกวีในชุดนี้...ภาพแสดงแห่งธรรมชาติภายในที่ค่อยๆซึมซับสู่การสร้างรูปแห่งแบบของสัณฐานภายนอกด้วยความวิจิตร นับเป็นความโดดเด่นสูงสุด อันชวนพินิจพิเคราะห์และชวนจดจำต่อแก่นแกนแห่งสาระเนื้อหาในเจตจำนงของรวมบทกวีชุดนี้อย่างยิ่ง...

“นกสีเหลืองขับขานในแมกไม้ ทำให้หัวใจฉัน เริงระบำด้วยความยินดี เราสองอยู่ในบ้านเดียวกัน และนั่นคือความสุข ส่วนหนึ่งของเรา

ลูกแกะคู่หนึ่งของนาง มาเล็มหญ้าใต้ต้นไม้ในสวนเรา หากมันหลุดเข้ามาในนาข้าวของเรา ฉัน อุ้มมันขึ้นในอ้อมแขน..หมู่บ้านของเราชื่อกานจนา และพวกเขาเรียกแม่น้ำเราว่าอันจานา ชื่อฉันเป็นที่รู้จักทั่วหมู่บ้าน ซึ่งนางคือรันจนา มีทุ่งนาเพียงผืนเดียวอยู่ระหว่างเรา......”

วิถีผูกพันระหว่างและท่ามกลาง โลกภายในกับโลกภายนอก ที่ฐากูรได้ร่ำระบายออกมาเป็นสีสันแห่งธรรมชาติของการดำรงอยู่ แสดงถึงความโยงใยที่แนบเนาของชีวิตต่อชีวิต ธรรมชาติของสรรพสิ่งล้วนไหวเคลื่อนไปด้วยความหมายเฉพาะ เงียบงัน แต่ตกอยู่ภายใต้ความสงบงาม ความสุขจากความเข้าใจคือราคาแห่งชีวิต เป็นสิ่งที่ดีงามที่อุบัติขึ้นจากข้อสังเกตแห่งการเสริมส่งทางปัญญา กระทั่งเกิดเป็นมิติทางจิตวิญญาณที่สนองรับกับสัมพันธภาพที่ยิ่งใหญ่และอยู่เหนือเหตุผลของเหตุผลอันสืบต่อเชื่อมโยงระหว่างกัน...

“ฉันกุมมือนาง แล้วกอดนางแนบอก ฉันพยายามเดินอ้อมแขนฉันด้วยความน่ารักของนาง ปล้นรอยยิ้มหวานของนางด้วยจุมพิต ดื่มการปรายตาดำขลับของนางด้วยตาของฉัน อาห์ แต่มันอยู่หนใด? ใครฤาจะกรองเอาสีฟ้าจากผืนฟ้าได้? ฉันพยายามคว้าความงามมันหลีกหนี ทิ้งเพียงกายไว้ในมือฉัน”

ภาษาสื่อสารแห่งบทกวีของฐากูร..ในเรื่องราวของแต่ละบทตอน ล้วนแสดงถึงการซ้อนทับแห่งปริศนาทางความรู้สึก ที่ถูกแปรความ และ แปลความออกมาจากความยอกย้อนด้านใน หลายๆขณะ ที่สัญญะต่างๆถูกแทนค่าด้วยภาพแสดงทางอารมณ์ ที่ขยายผ่านมโนภาพไปอย่างละเมียดละไม มโนภาพแห่งปริศนาที่มีความนัยแห่งภาษาใจแฝงอยู่คือคำยืนยันถึงความงามในโลกของอุดมคติ เป็นรูปแห่งแบบของความงาม(Form of Beauty) ที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลง ฐากูรไม่ได้สร้างงานของเขาในลักษณะของการลอกเลียนแบบมา จากความงามในโลกอุดมคติ อันเปรียบถึงความงามในโลกแห่งประสาทสัมผัสที่ไม่มีความเที่ยงแท้ มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ความงามที่สื่อผ่านภาษาใจของฐากูร เป็นความเที่ยงแท้สมบูรณ์ในนามของโลกแห่งประสาทสัมผัส ซึ่งคนเราทุกคนจะเข้าถึงความงามอันมีค่าดั่งนี้ได้ ก็ด้วยการคิด และกระบวนการคิดอันเบิกบานและแยบยล เพียงเท่านั้น..

“ความมั่งคั่งอันไร้ขอบเขตไม่ใช่ของเธอ แม่ธุลีดิน ผู้อดทนและหม่นหมองของฉัน เธอทำงานหนักเพื่อกรอกปากลูกหลานของเธอ ทว่า อาหารช่างขาดแคลน ของขวัญแห่งความปิติที่เธอให้เรานั้น ไม่เคยสมบูรณ์ ของเล่นที่เธอสรรค์สร้างเพื่อลูกหลานของเรานั้นบอบบาง

เธอไม่อาจยังความพอใจให้ความหวังอันหิวโหยทั้งปวงของเรา ทว่า ฉันทิ้งเธอด้วยเหตุนี้ได้หรือ? รอยยิ้มหมองด้วยความเจ็บปวดของเธอนั้น หวานในสายตาฉัน ความรักของเธอ ซึ่งไม่เคยลุความสมบูรณ์นั้น เลอค่าในใจฉัน”

“ฐากูร” นำเราดำดิ่งลงไปสู่โลกแห่งความหมายอันเป็นเวิ้งรู้ที่กว้างขวางของเขา มันคือพื้นที่แห่งการแสวงหาการรับรู้ที่เต็มไปด้วยความงามและความหมาย ที่ไม่ได้จำกัดกรอบอยู่ในวงรอบที่จำกัด แม้จุดมุ่งหมายโดยองค์รวมของบทกวีจะมุ่งเน้นถึงความรัก แต่มันก็ไม่ได้หยุดอยู่บนทางสายที่คับแคบของความเป็นเฉพาะตัว...ความรักของฐากูร อยู่ในโลกขยาย ภายใต้ปีกแห่งความคิดที่ไม่เห็นแก่ตัวของคนสวน ผู้สถาปนาชีวิตขึ้นมาด้วยทัศนคติแห่งจิตวิสัยอันชวนใคร่ครวญ....

“เมื่อฉันลอบไปพบคนรักยามดึกโดยลำพัง นกไม่ร้อง ลมไม่โชย บ้านเรือนสองฝั่งถนนเงียบงัน ...คือเสียงกำไลข้อเท้าของฉันเอง ที่ส่งเสียงดังในทุกย่างก้าว... เมื่อคนรักฉันมา และนั่งลงข้างฉัน เมื่อร่างฉันสั่นเทิ้ม และเปลือกตาหลุบลง ราตรียิ่งมืด ลมพัด ตะเกียงดับ เมฆคลี่ผ้าคลุมเหนือดวงดาว คืออัญมณีที่หน้าอกฉันเอง ที่ส่องและให้แสง ฉันไม่รู้จะซ่อนมันอย่างไร”

ผมถือเอาบทกวีที่ถูกปลูกสร้างขึ้นด้วยความงามทางความรู้สึก เป็นแบบอย่างของความงามทางความรู้ ..เป็นแรงดลใจแห่งการเติบโตในทางจิตวิญญาณที่ไม่อาจปลอมแปลงขึ้นจากความจริงลวงใดๆได้...บทกวีถือเป็นศิลปะ...สาระเนื้อหาที่ก่อเกิดขึ้นจากความเป็นสามัญของชีวิต คือการแพร่ขยายพืชพันธุ์แห่งความรู้สึก และปัญญาออกไปสู่เขตแดนของการรับรู้ในความสุข เป็นความสุขในประสาทสัมผัส เป็นความงามชั้นยอดที่ประกาศความงามแห่งตน ด้วยละอองไอแห่งความหมายในเชิงประจักษ์ จากความเชื่อมั่นศรัทธาในรสชาติแห่งประพันธกรรมตรงส่วนนี้...

“คนสวน”ในการปลูกสร้างซ้อนการปลูกสร้างแห่งจิตวิญญาณของฐากูร.. จึงไม่ได้เป็นเพียงแค่ภาพผ่านทางความรู้สึก แต่มันคือผลลัพธ์ของจิตใจในการหยั่งรู้ต่อการรังสรรค์ศิลปะแห่งความรู้สึกออกมา เป็นท่วงทำนองแห่งการรับรู้ของจริง จนกลายเป็นความเพลิดเพลินที่ปรากฏ

“เธอเป็นใคร ผู้อ่าน อ่านบทกวีของฉัน นับจากนี้ไปร้อยปี? ในปิติแห่งหัวใจของเธอ ขอให้เธอสัมผัสถึงปิติที่ยังอยู่ซึ่งขับขานบทเพลงในเช้าวันฤดูใบไม้ผลิวันหนึ่ง...ส่งเสียงอันร่าเริงยินดีข้ามศตวรรษมา”

“วิภาดา กิตติโกวิท”แปลรวมบทกวีชุดนี้ออกมาอย่างล้ำลึก เธอเปรียบดั่งผู้ขยายหน่อเชื้อแห่งพืชพรรณของบทกวีอันมีค่า จากสวนแห่งชีวิตอันอุดมสมบูรณ์ไปด้วยพลังใจในโลกของอดีต ให้มาสู่พื้นที่แห่งชีวิตของผู้คน ณ วันนี้ ด้วยความตั้งใจและด้วยความวิริยะอุตสาหะ ในการเชื่อมต่อและแปลความเจตจำนงอันบริสุทธิ์ของผู้เป็นคนสวนและพืชพันธุ์แห่งจิตวิญญาณของเขา ให้กลายมาเป็นความเป็นหนึ่งแห่งกันและกันในนามของศิลปะ...ในทุกย่างก้าวของ...ศรัทธาที่ธำรงอยู่เหนือกาลเวลาใดๆ...

และทั้งหมดนี้...คือภาพแสดงแห่งการยกย่องนับถือต่อภาวะแห่งจิตวิญญาณของฐากูร ในนามแห่ง”คุรุเทพ” ในนามแห่งมหากวี ผู้ปลูกสร้างความงามแห่งจิตด้วยอุ้งมือแห่งชีวิตของความรัก..

“ในปิติแห่งหัวใจเธอ...ขอให้เธอสัมผัสถึงปีติที่ยังอยู่...จากสวนดอกไม้..ที่บานสะพรั่งของเธอนั้น..”