“บิ๊กบี้” พล.อ.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) อาจจะไม่เป็นที่รู้จักของประชาชน เท่าใดนัก  เมื่อเทียบกับ “บิ๊กแดง” พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผบ.ทบ.คนก่อน แม้จะเป็น ผบ.ทบ.มาจะครบ 2 ปี แล้ว แต่ทว่าบทบาทไม่โดดเด่น และ แตกต่างจาก พล.อ.อภิรัชต์  อย่างชัดเจน

ความเหมือนมีอยู่เรื่องเดียวคือ ความจงรักภักดี ความเป๊ะ ในฐานะ ผบ.ทบ. ที่เป็นทหารคอแดง คนที่ 2 และ เป็น ผบ.ฉก.ทม.รอ.904 แต่ที่แตกต่าง คือ บุคลิกลักษณะ เพราะ พล.อ.ณรงค์พันธ์ เงียบ พูดน้อย แทบจะไม่แสดงออกในทางการเมือง ให้เห็น ให้สัมภาษณ์น้อยครั้ง แถมมาเจอช่วงสถานการณ์โควิด จึงไม่ค่อยออกสื่อ และสื่อก็ไม่มีโอกาสได้พบเจอ

ขณะที่ พล.อ.อภิรัชต์ นั้น แสดงออกชัดเจน ว่าต่อต้านพวก ชังชาติ หนักแผ่นดิน  และพวกล้มเจ้า และ มักจะให้สัมภาษณ์ หรือแสดงออกในทางการเมืองบ่อยครั้ง เพราะมีความสนิทสนมใกล้ชิดกับ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม

หากเปรียบ พล.อ.อภิรัชต์ เป็นดั่ง แผ่นดินไหว หรือไฟร้อนแรง พล.อ.ณรงค์พันธ์ ก็จะเป็น ประหนึ่ง น้ำใสไหลเย็น หรืออาจถึงขั้น น้ำแข็งไส เลยทีเดียว

เพราะไม่ค่อยมีบทบู๊ ควันออกหู หรือออกมาคำราม ตามสไตล์ ผบ.ทบ. ที่คุมอำนาจกำลังรบ เหล่าทัพที่ใหญ่ที่สุด เป็นคนเดียวที่จะปฏิวัติได้ ตรงกันข้าม จะเห็นมีแต่รอยยิ้ม และ เดินหนีนักข่าว เลี่ยงการให้สัมภาษณ์

บทบู๊ที่ พล.อ.ณรงค์พันธ์ เคยแสดงออกให้เห็น ก็ตอนสั่งห้าม รถขนส่งของ ลาซาด้า มาส่งในเขตทหาร หลังปล่อยโฆษณา ที่หมิ่นเหม่ต่อการเสียดสีสถาบันฯออกมา ที่ครั้งนั้น ทำให้ ผบ.ทบ. ชื่อ บี้ เป็นที่รู้จักมากขึ้น เพราะมีจุดยืนที่ชัดเจนเรื่องของการปกป้องสถาบันฯ

แต่ก็ห้ามอยู่แค่ 42 วัน จากนั้นก็ยกเลิกคำสั่ง และอนุญาตให้เข้ามาส่งสินค้าในหน่วยทหารได้ตามปกติ เพราะเห็นว่า เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมแล้ว

แถมเป็น ผบ.ทบ. ที่ไม่เคย เอาเรื่องปฏิวัติรัฐประหารมาขู่ ไม่เคยให้สัมภาษณ์ สร้างความคลุมเครือ มีแต่ยืนยัน ตั้งแต่แรกที่ขึ้นมาเป็น ผบ.ทบ. ว่า โอกาสในการรัฐประหาร เป็นศูนย์ และ ติดลบด้วยซ้ำ แม้จะระบุว่า ในหัวผมมีอยู่แค่ ชาติ ศาสนา  กษัตริย์ และประชาชน และพร้อมจะทำทุกอย่าง เพื่อปกป้อง รักษาทั้ง 4 สิ่งนี้ไว้ก็ตาม แต่จากนั้นมา ก็ยังไม่มีสถานการณ์ หรือปัจจัยใด ที่เสี่ยงต่อการรัฐประหารเกิดขึ้น           

หลังจากนั้น พล.อ.ณรงค์พันธ์ ก็ขอร้องสื่อให้หยุดถามเรื่องการปฏิวัติรัฐประหารพร้อมแนะนำให้สื่อ ไปพักผ่อนสวดมนต์ทำใจให้สบาย อย่าคิดแต่เรื่องการเมือง หรือการปฏิวัติรัฐประหาร           

ก่อนที่จะมาตอกย้ำอีกครั้งหลังเกิดกระแสข่าวลือ ทั้งการทำนายทายทักของหมอดู และการประเมินสถานการณ์ของนักการเมืองหลายคนว่าจะเกิดการรัฐประหารอีกครั้งโดย พล.อ.ณรงค์พันธ์ ยืนยันว่า “ไม่มีหรอก ตราบใดที่กองทัพบกยังคงยึดมั่นในชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และประชาชน”           

แต่ด้วยเหตุที่ พล.อ.ณรงค์พันธ์ ถูกมองว่ามีระยะห่างกับ พล.อ.ประยุทธ์  และไม่แสดงออกถึงการสนับสนุนรัฐบาล จนเกิดกระแสข่าวเปลี่ยนตัว ผบ.ทบ. ในการแต่งตั้งโยกย้าย ก.ย.นี้ หลังกระแสก่อตัวตั้งแต่ปัญหา ใน ททบ.5 จนทำให้ “บิ๊กตี๋” พล.อ.รังษี กิตติญาณทรัพย์ เพื่อนรักของพล.อ.ณรงค์พันธ์ ต้องยอมลาออกเพื่อตัดตอนความรับผิดชอบไม่ให้ถึงตัวพล.อ.ณรงค์พันธ์  ที่ในเวลานั้น ทำให้ความขัดแย้งระหว่าง พล.อ.ประยุทธ์ และ พล.อ.ณรงค์พันธ์ ถูกจับตามอง

จากนั้นมาก็ดูเหมือนว่า พล.อ.ณรงค์พันธ์ จะมีการปรับตัว ปรับการทำงานใหม่  ในการสนองนโยบาย รัฐบาล  นโยบายพล.อ.ประยุทธ์ ทั้งการเตรียมรถบรรทุกทหารไว้ หากรถขนส่งสไตรค์จากค่าน้ำมันแพง การปลูกผักชี ในค่ายทหาร ก่อนจะมาถึง ปฏิบัติการลาซาด้า ซึ่งเป็นบทบาทที่ พล.อ.ณรงค์พันธ์ ที่มีจุดยืนเรื่องการปกป้องสถาบันฯ อย่างชัดเจน ไม่อาจอยู่นิ่งได้           

ตามมาด้วย การจัดพิธีทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้กับทหารที่เสียชีวิตจากเหตุกระชับพื้นที่คนเสื้อแดงในปี 2553 เป็นครั้งแรก ในนามกองทัพบก และ ผบ.ทบ.มาร่วมพิธีเองที่วัดโสมนัสฯ ที่ถูกมองว่าเป็นการส่งแมสเสจ ถึงกลุ่มคนเสื้อแดง ที่ในขณะนั้น แกนนำพรรคเพื่อไทยกำลังปลุก ให้กลับมาสนับสนุนพรรค และหวั่นกันว่าประวัติศาสตร์จะซ้ำรอย           

พล.อ.ณรงค์พันธ์ จึงเตือนสติว่าเป็นเหตุการณ์ที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้นเพราะสูญเสียทั้งฝ่ายทหาร และฝ่ายประชาชน มีการใช้ความรุนแรง ทั้งสองฝ่าย และ ขอให้เป็นบทเรียนและอย่าให้เกิดขึ้นอีก           

จนมาถึงการสนับสนุนการจัดดนตรีในสวน ตามนโยบายของ ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร คนใหม่  ที่มี วงดุริยางค์ทบ. ไปเล่นดนตรีตามสวนสาธารณะต่างๆในกรุงเทพฯ ไม่แค่นั้นยังให้วงดุริยางค์ของหน่วยทหารในต่างจังหวัด ไปแสดงดนตรีในสวนสาธารณะ ในแต่ละพื้นที่ ทั่วทั้งประเทศอีกด้วย           

หลังจัดดนตรีในสวน เติมความสุขให้ประชาชนแล้ว พล.อ.ณรงค์พันธ์ ก็สั่งจัดดนตรีในค่ายทหาร  เติมความสุขให้กำลังพลบ้าง  โดยจัดช่วง “Happy Time” ทุกวันพุธบ่าย ที่เป็นวันกีฬาตามธรรมเนียมทหาร  โดยมีทั้งการจัดแสดงดนตรี  และการแสดงต่างๆ และแจกรางวัลกำลังพล ด้วย เพื่อเป็นขวัญกำลังใจตลอดกว่า 3 เดือน ตั้งแต่ 22 มิ.ย.- สิ้นเดือน ก.ย. 2565

พร้อม ให้จัดตลาดนัดกำลังพล ในบก.ทบ. ให้นำสินค้า มาขาย เพื่อเพิ่มรายได้ ด้วย โดยที่ พล.อ.ณรงค์พันธ์ ประเดิม ด้วยการสวมชุดกีฬา มาเดินตลาด ช่วยอุดหนุนลูกน้อง และร่วมชมดนตรี และแจกรางวัลลูกน้องเองด้วย           

จากนั้น พล.อ.ณรงค์พันธ์ ก็เปิดเวทีเสวนารับฟังข้อมูลแสวงหาวิธีการ “การอยู่ร่วมกันในสังคมด้วยสันติวิธี และการไม่ใช้ความรุนแรง”  โดยเชิญนักวิชาการ ทั้งพลเรือน และทหารร่วม โดยที่พล.อ.ณรงค์พันธ์ มานั่งฟังเอง และร่วมแสดงความคิดเห็น พร้อมเสนอแนะให้ใช้การพูดคุยในระดับที่เหมาะสม จะช่วยลดความขัดแย้งในสังคม ได้ เพราะ ทบ. ตั้งใจ ไม่ให้สังคมขัดแย้ง

“กองทัพบก ตั้งใจอยากให้สังคมไม่มีความขัดแย้ง จึงเปิดรับฟังข้อมูลและแสวงหาวิธีการที่จะทำให้สังคมมีความสงบสุข และพร้อมที่จะเชิญนักวิชาการผู้มีประสบการณ์มาเติมข้อมูลความรู้ในเรื่องดังกล่าวนี้อย่างต่อเนื่อง” ผบ.ทบ. ระบุ           

ถือเป็นอีกหนึ่งอีเวนท์ ของกองทัพบกที่ถูกมองว่าต้องการส่งสัญญาณไปถึง กลุ่มม็อบต่างๆ หลังจากมีเหตุการณ์ชุมนุมที่แยกดินแดงหลายครั้งและเกิดการใช้ความรุนแรงกันขึ้น ทั้งหมดนี้ ทำให้ ภาพลักษณ์ของ พล.อ.ณรงค์พันธ์ กลายเป็น ผบ.ทบ. ที่เป็นทหารอาชีพ และ นิ่ง สงบ เยือกเย็น ประหนึ่ง น้ำเย็น           

ที่ผ่านมาแม้จะมีกระแสข่าว ถูกย้าย ไปเป็น ผบ.ทหารสูงสุด บ้างปลัดกลาโหมบ้างก็ตาม แต่ พล.อ.ณรงค์พันธ์ ก็ไม่สนใจ ยังคงทำหน้าที่ในสไตล์ของตัวเอง ลงพื้นที่เดินสายเยี่ยมหน่วย เยี่ยมการฝึกทหารใหม่ในทุกกองทัพภาคทั่วประเทศ ที่แม้ดูเป็นงานที่ไม่โดดเด่น แต่ พล.อ.ณรงค์พันธ์ ก็ต้องการแสดงออกถึงการเป็น ผบ.ทบ. ที่เป็นทหารอาชีพและไม่ยุ่งเกี่ยวทางการเมือง           

แต่ท้ายที่สุด ต้องรอดูการตัดสินใจของ พล.อ.ประยุทธ์ ซึ่งเป็นทั้งนายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม  ว่าจะทิ้งทวนการแต่งตั้งโยกย้ายครั้งนี้ ก่อนที่จะพ้นวาระ พ้นเก้าอี้นายกฯ และไม่รู้ว่าจะได้กลับมาในการเลือกตั้งสมัยหน้า หรือไม่ เพราะ พล.อ.ประยุทธ์ มี ผบ.ทบ.ในใจอย่าง “บิ๊กต่อ” พล.อ.เจริญชัย หินเธาว์ ผช.ผบ.ทบ.น้องรักสายทหารเสือฯ ที่รอจ่ออยู่แล้ว แต่ต้องร้องเพลงรอ เพราะ พล.อ.ณรงค์พันธ์ กว่าจะเกษียณตุลาคม 2566           

เพราะ พล.อ.ณรงค์พันธ์ ก็มีแบคอัพดีไม่เช่นนั้น ก็คงไม่ได้ขึ้นมาเป็น ผบ.ทบ. และการจะโยกย้ายเปลี่ยนตัว ผบ.ทบ. ย่อมไม่ใช่เรื่องง่าย           

แต่หาก พล.อ.ประยุทธ์ ตัดสินใจดัน พล.อ.เจริญชัย ขึ้นมา เป็น ผบ.ทบ.ในโยกย้ายครั้งนี้เลย ก็เป็นอีกดัชนีชี้วัดหนึ่ง ว่าพล.อ.ประยุทธ์ จะไม่ไปต่อในสมัยหน้าแล้ว จึงรีบดันน้องรัก ให้ถึงฝั่งฝันได้นั่งเก้าอี้ ผบ.ทบ. 2 ปี มาเป็นหลักในการดูแลกองทัพ ดูแลความมั่นคง และปกป้องสถาบันฯต่อไป         

อีกไม่นาน ได้รู้กัน!!