ปากกาขนนกนก / สกุล บุณยทัต
“โมหจริตอันนับเป็นปฐมบทแห่งท่าทีและอาการของความโกรธนับเป็นอุบัติการณ์ของชีวิตที่เป็นดุจเชื้อไฟที่ปะทุอยู่ภายในจิตใจอันล้ำลึก... หลายๆครั้งมันกลายเป็นอาวุธที่คอยทำร้ายผู้คนอย่างลึกซึ้ง... ในวิถีแห่งมโนธรรมอันสมบูรณ์... ชีวิตดำเนินไปด้วยความยากลำบากผ่านปัญหาและอุปสรรคของความขัดแย้งที่ก่อตัวและระเบิดออกมาเป็นความทุกข์เศร้าที่แสนจะหม่นมืด แต่ถึงกระนั้น... ความโกรธของผู้คนในโลกนี้ก็ไม่ถูกระงับลงด้วยจิตอันอ่อนโยน... แต่ละฝ่ายแต่ละบุคคลต่างบ่มเพาะความเป็นตัวตนเชิงอคติขึ้นมาอย่างไม่กลัวเกรงต่อผลกระทบแห่งอันตรายใดใด... ทั้งที่แท้จริงความโกรธที่ถูกละทิ้งจากการระงับและป้องกันถือเป็นชนวนแห่งปมเงื่อนของการแบ่งแยกและแตกหักออกจากกันอย่างเด็ดขาดและสูญสิ้น... โดยไม่มีผัสสะแห่งการให้อภัยเป็นเครื่องลดทอนและช่วยแบ่งเบาความทุกข์ออกไปจากความหวั่นกลัวแห่งหัวใจของกันและกันเลย”
บทเริ่มต้นดังกล่าวนี้... นำไปสู่วิถีแห่งปัญญาอันยิ่งใหญ่... ปัญญาที่สามารถดับเปลวไฟแห่งโทสะ... เพื่อทำให้ใครก็ตามที่ได้รับรู้และสัมผัสในรายละเอียดแห่งผลรวมนี้ทั้งหมดได้ค้นพบนัยแห่งความโปร่งโล่งแห่งอารมณ์ความรู้สึกของตนเองโดยไม่ต้องกดทับตนเองจนต้องจมลึกอยู่กับบ่วงอันนับว่าเป็นหายนะที่ซับซ้อนและทำลายมิติของชีวิตลงอย่างสิ้นท่า...
“ความโกรธ” (Anger) ผลงานอันเป็นคำสอนของท่าน “ติช นัท ฮันห์” พระเซ็นชาวเวียดนามผู้ล่วงลับ ...ซึ่งถูกแปลเป็นภาษาไทยโดย “ธารา รินศานต์” ด้วยมิติของการรับรู้ในโครงสร้างของความเข้าใจในความหมายอันสอดคล้องและสงบสงัดของชีวิต... ท่ามกลางเวลานาทีที่เปี่ยมไปด้วยปัญหาในทรรศนะที่เปี่ยมเต็มไปด้วยอคติ ไร้ซึ่งมิตรไมตรี โดยเฉพาะกับสังคมประเทศของเรา ณ ขณะนี้ที่แทบจะหาที่พึ่งพาอะไรไม่ได้... เปลวไฟแห่งโทสะ... บังเกิดเป็นทั้งความโกรธแค้นและเกลียดชังในความเป็นผู้ร่วมแผ่นดิน พี่น้อง เพื่อนพ้อง ตลอดจนมิติแห่งผู้ปกครองอันถือเป็นนัยที่ยิ่งใหญ่ของความรับผิดชอบต่อสังคม... ดูเหมือนทุกคนจะก้าวไปข้างหน้าด้วยพลังนำพาที่รุนแรงและหื่นกระหายไปด้วยภาวะแห่งการประหัตประหารที่ไม่ยอมผ่อนปรน... ต่างคนต่างคิดว่าตนเองยืนอยู่บนความถูกต้องทั้งๆที่ทุกลมหายใจเข้าออกของพวกเขาต่างเต็มไปด้วยแก่นแกนของความบาดหมาง... สังคมของเรากำลังตกอยู่ในสภาพที่คนในสังคมไม่ย้อนกลับมาเพ่งพินิจดูภาพสะท้อนอันแท้จริงของตนเอง... ไม่ย้อนกลับมา... ผ่อนปรนกับหายนะแห่งปัญหาที่คุกรุ่นขึ้นมาอย่างยากที่จะมอดดับ... เหตุดั่งนี้... ความทุกข์จึงย่อมจะต้องเกิดขึ้นกับหัวใจมากกว่าสุข... นั่นคือสัจจะที่สามารถหยั่งรู้และมองเห็นได้ด้วยตนเอง... แต่กลับไม่ค่อยมีใครปรารถนาที่จะมองเห็น... เหตุนี้ความทุกข์จึงยังคงดำเนินต่อไป... ท่ามกลางซากอันมอดไหม้ของความดีงาม... ซากอันไร้ค่า... ของจิตวิญญาณที่ไม่อาจสรรค์สร้างทางออกอะไรอีกได้
“เวลาที่เธอโมโห ขอให้กลับมาหาตัวเอง ดูแลความโกรธให้ดี และหากมีคนทำให้เธอเป็นทุกข์ ก็จงหันกลับมาดูแลความทุกข์... ความโกรธของตนเอง... อย่าพูดหรือทำอะไรเพราะสิ่งที่เธอพูดหรือทำด้วยอารมณ์เดือดดาลนั้น อาจจะทำให้สัมพันธภาพของพวกเธอย่ำแย่ลง” ข้อเท็จจริงตรงส่วนนี้คือการใคร่ครวญด้วยพลังแห่งสติ... เมื่อชีวิตบังเกิดความใคร่ครวญ... นั่นย่อมหมายถึงการมองเห็นรากเหง้าแห่งความทุกข์ของตนเอง... ซึ่งจะเป็นเหตุให้สามารถเยียวยาแก้ไข... ปัญหาต่างๆนานาที่สุมอยู่ภายในตัวตนกระทั่งในสังคมของประเทศ... ซึ่งนั่นจะช่วยให้ “เธอเป็นอิสระ มีความสุข อีกทั้งยังสามารถทำให้คนรอบข้างพลอยมีความสุขไปด้วย... หากแม้นเราจะฝึกพูดจากันด้วยความรักและรับฟังซึ่งกันและกันอย่างใส่ใจ วิถีเช่นนี้... ย่อมแก้ไขความขัดแย้ง... ด้วยความสงบและหนักแน่น” แต่หากใครก็ตามไม่แน่ใจว่าตัวเองมีความสงบหนักแน่นพอ... หรือมีความกรุณาในชีวิตมากพอที่จะพูดอย่างสงบ แช่มชื่น และเปี่ยมด้วยรัก
“เธออาจฝึกเขียนจดหมาย... การเขียนจดหมายเป็นการปฏิบัติที่สำคัญมาก เพราะถึงเธอจะมีเจตนาดี แต่การปฏิบัติที่กล้าแกร่งพอ ก็อาจพาให้เกิดความรู้สึกขุ่นเคืองขึ้นมาได้... ในเวลาที่แต่ละคนต่างพูดจาโต้ตอบกันออกไปอย่างไม่ทันยั้งคิด” ซึ่งนั่นเท่ากับเป็นการทำลายโอกาสของตนเอง... เหตุนี้ท่าน ติช นัท ฮันห์ จึงได้เสนอทางออกที่ดูเหมือนเรียบง่ายแต่ก็แฝงเร้นไปด้วยนัยของการกระทำเพื่อผลอันดีงาม... แน่นอนว่าบางครั้งย่อมเป็นการง่ายและปลอดภัยกว่าที่จะเขียนจดหมายขึ้นมาส่งมอบให้แก่กันและกัน... มันอาจถือเป็นความจำเป็น... เพราะในจดหมายแต่ละฉบับได้แสดงให้เห็นว่าเราสามารถมองเห็นทุกข์ของอีกฝ่ายได้อย่างชัดเจน... เฉกเช่น “เพื่อนรัก... ฉันรู้ว่าเธอเป็นทุกข์ และรู้ว่าเธอไม่ได้มีส่วนร่วมรับผิดชอบต่อทุกข์ของตัวเองทั้งหมดหรอก... เนื่องจากเธอได้ฝึกการพิจารณาใคร่ครวญอย่างลึกซึ้ง จึงค้นพบรากเหง้าและเหตุแห่งทุกข์ของอีกฝ่ายหนึ่งซึ่งมีหลายองค์ประกอบด้วยกัน... เธอสามารถบอกเล่าเรื่องทั้งหมดนี้ รวมถึงความทุกข์ของตัวเธอเองให้เขาได้รับรู้และแสดงให้เห็นว่าเธอเข้าใจคำว่าทำไมเขาถึงได้พูด... ถึงได้กระทำเช่นนั้น”
นี่คือทางออกหนึ่งบนวิถีของความขัดแย้ง เป็นคำแนะนำในเชิงปฏิบัติที่อาจนับเป็นทางเลือกของความอยู่รอดในการสื่อภาษาสื่อสารถึงกันและกัน... แท้จริงประเด็นตรงส่วนนี้นับเป็นการฝึกสติ ฝึกการรับรู้ และโอบอุ้มความโกรธ อันถือเป็นการปิดประตูนรกแล้วเปลี่ยนแปลงมันด้วยการช่วยให้ทั้งตนเองและผู้อื่นได้รอดชีวิตและสามารถกลับมาสู่ดินแดนแห่งสันติภาพด้วยกัน
“เธอไม่ควรปฏิบัติเยี่ยงเครื่องจักร ทว่าควรกอปรด้วยปัญญา เพื่อว่าทุกย่างก้าว... ทุกลมหายใจจะได้ช่วยให้เธอรู้สึกดีขึ้น... จงสัมผัสกับความมหัศจรรย์ของชีวิตทั้งภายในและรอบๆตัวเธอ จงหล่อเลี้ยงตัวเองด้วยการปล่อยให้ความงามและความสามารถในการเยียวยาที่อยู่รอบข้างซึมซ่านเข้าสู่ตัวเธอ... นี่คือสิ่งสำคัญที่สุดที่ต้องทำ... ถ้าความเข้าใจของฉันไม่ถูกต้อง ขอโปรดได้บอกฉันด้วย...”
ว่ากันว่า...
โลกในทุกยุคทุกสมัย มักมีความผันผวนแห่งการรับรู้ทางอารมณ์ของมนุษย์ที่กระจัดกระจายกันไปในหลายแนวทาง ด้านหนึ่งอาจเป็นความทุกข์ ด้านหนึ่งอาจเป็นความสุข และอีกด้านหนึ่งอาจเป็นความกึ่งทุกข์กึ่งสุขอันชวนสับสน ภาวะภายในกับภาวะภายนอกของมนุษย์จึงล้วนเป็นปัจจัยที่เชื่อมโยงถึงกันด้วยความรู้สึกที่เป็นทั้งดีและร้าย อ่อนไหวและแข็งกร้าว ความเป็นบุคคลอื่น ความเป็นสิ่งอื่นที่อยู่นอกเหนือไปจากตัวตนแห่งตน นับเป็นแรงเกื้อหนุนที่ทำให้เกิดความคับข้องใจ ที่ทำให้ลมหายใจตกอยู่ในภาวะที่ติดขัด และทำให้ความปรารถนาดีภายในใจต้องเผชิญหน้าอยู่กับความไม่สงบและหวาดกลัว
ดูเหมือนว่าบางขณะ อารมณ์จะเปรียบได้ดั่งดอกไม้หอมที่แสนงาม แต่ ณ บางขณะ อารมณ์ก็จะกลับกลายเป็นอาวุธร้ายที่พลุ่งพล่านซึ่งพร้อมจะทำลายตัวตนและภูมิปัญญาแห่งความเป็นมนุษย์อยู่เสมอ นั่นเป็นธรรมชาติอันถือเป็นข้อเท็จจริงที่มนุษย์ต้องทำความเข้าใจ และจะต้องเอาชนะด้วยการพินิจพิเคราะห์ในเชิงภูมิปัญญาที่หยั่งลึกลงไปในสถานการณ์หรือวิกฤติการณ์ต่างๆของชีวิต จนสามารถทำให้ตนเองหลุดพ้นจากบ่วงแห่งหายนะของความทุกข์ไปได้
“ความโกรธ” ถือเป็นดั่งอาวุธร้ายที่สำคัญที่เป็นดั่งเปลวไฟแห่งโทสะ มนุษย์ในแต่ละคนมักจะต้องเจ็บปวด และถูกกักขังอยู่กับความร้อนร้ายในวิถีที่ปิดกั้นสำนึกที่ดีงามของมันเสมอ นั่นหมายถึงอิสรภาพแห่งจิตใจของมนุษย์ได้ถูกจองจำ เสรีภาพแห่งจิตวิญญาณของมนุษย์ได้ถูกกักขังด้วยความคับแค้น ความริษยา ความลุ่มหลง หรือแม้กระทั่งความอยากได้ใคร่มีต่างๆนานา เหตุนี้ความสุขของมนุษย์จึงควรอยู่ที่ตรงไหน? และจะเกิดขึ้นได้อย่างไร?
“สำหรับข้าพเจ้า การมีความสุขคือการมีทุกข์น้อยลง ถ้าเราไม่สามารถขจัดความเจ็บปวดภายในตนเอง ก็ย่อมไม่อาจมีความสุขขึ้นมาได้” นั่นเป็นทรรศนะคำสอนของท่าน “ติช นัท ฮันห์” ที่ได้บอกกล่าวเอาไว้อย่างน่ารับฟัง แท้จริงปรากฏการณ์ภายในของมนุษย์เป็นสิ่งที่ลึกซึ้ง และสามารถเยียวยาแรงปรารถนาที่ปะทุขึ้นจากภายนอกได้อย่างละเอียดอ่อน เพียงแต่ว่ามนุษย์มักจะมองไม่เห็นแรงผลักดันตรงนี้ แต่กลับจะพยายามดิ้นรนอยู่กับปรากฏการณ์ภายนอก และเมื่อสิ่งใดสิ่งหนึ่งไม่เป็นดั่งที่ใจปรารถนา ดุลยภาพทางอารมณ์ของชีวิตก็จะแกว่งไกวไปสู่จุดเดือดของอารมณ์อย่างไร้ข้อตระหนักและปราศจากการยึดเหนี่ยว
ณ วันนี้ “หลายคนเริ่มเข้าใจว่า สิ่งที่เกิดขึ้นกับกายนั้น เกิดขึ้นกับจิตด้วย และสิ่งที่เกิดขึ้นกับจิต ก็เกิดขึ้นกับกายเช่นกัน การแพทย์สมัยใหม่ตระหนักว่าความเจ็บป่วยทางร่างกายอาจเป็นผลมาจากความป่วยไข้ของจิต และความป่วยไข้ของจิต ก็อาจจะเกี่ยวพันกับความป่วยไข้ของกาย กายกับจิตไม่อาจแบ่งแยกเป็นสองส่วน หากแต่เป็นหนึ่งเดียว”
เหตุนี้ ภาวะแห่งจิตเนื่องกายจึงเป็นบทสะท้อนแห่งการดำรงอยู่ เป็นภาษาที่ทรงคุณค่าแห่งการตัดสินใจที่จะกระทำหรือไม่กระทำในชีวิต เมื่อไหร่ก็ตามที่ขีดความสามารถของมนุษย์สามารถแยกกายออกจากจิตหรือจิตออกจากกายได้ นั่นหมายถึงว่า การค้นพบมิติอันบริสุทธิ์ของชีวิตได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว... นั่นหมายถึงว่า โลกจะมีความรักโดยปราศจากทิฐิ มนุษย์จะไม่มีการเสแสร้งใดใดที่จะบอกว่าตัวเองมีความสุขทั้งที่ใจยังขุ่นเคือง
แน่นอนที่สุด มนุษย์ทุกคนควรมีหน้าที่ที่จะบอกต่อคนอื่นในทุกครั้งที่ตัวเองรู้สึกมีความทุกข์ และเมื่อใดก็ตามที่ตัวเองมีความสุขก็ควรอย่างยิ่งที่จะแบ่งปันความสุขนั้นๆให้แก่คนอื่นด้วย ไม่ว่าจะเมื่อใดก็ตาม เราจะต้องลงมือทำในสิ่งเหล่านี้โดยทันที “ไม่ควรเก็บโทสะหรือความทุกข์ไว้กับตนเองเกิน ๒๔ ชั่วโมง ไม่เช่นนั้น เราจะรู้สึกอัดอั้นจนเกินไป”
อันตรายอันเกิดจากการอัดอั้นเก็บกด มีส่วนที่จะเผาไหม้มนุษย์ด้วยจิตที่ปรุงแต่งให้ย่อยยับลงไป แต่ด้วยความเข้าใจด้วยพื้นฐานของชีวิตที่ไม่เสแสร้งและไม่หยิ่งทะนงต่อการศึกษารับรู้ ก็ย่อมทำให้ชีวิตมีคุณค่าต่อการที่จะอยู่กับความสุขได้อย่างสมบูรณ์
“ความสุขไม่ใช่เรื่องส่วนตัว ถ้าพวกเธอคนหนึ่งคนใดไม่มีความสุข ก็ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่อีกฝ่ายหนึ่งจะมีความสุข”
“ความโกรธ ปัญญาดับเปลวไฟแห่งโทสะ” เป็นผลรวมแห่งความคิดที่ลึกซึ้ง และคว้านลึกลงไปถึงการต่อสู้กับปรากฏการณ์ภายในจิตใจของมนุษย์และความผิดชอบชั่วดีในเชิงจิตวิญญาณที่ไหวสะท้านความเป็นอารมณ์ของมนุษย์อยู่ทุกขณะจิต ท่าน ติช นัท ฮันห์ ได้ชี้ให้เห็นถึงการรวบรวมภาวะของความเป็นทุกข์ที่โยงใยไปถึงมิติของความโกรธ ที่มักจะเกิดขึ้นและเผาผลาญความดีงามของมนุษย์อย่างง่ายดาย ผ่านยุคสมัย ผ่านตัวอย่างแห่งการทดลองความจริงในแง่มุมต่างๆ ในทรรศนะที่เป็นกลางที่สามารถชี้ให้เข้าใจได้ถึงข้อเท็จจริงแห่งชีวิต ความดีความชั่วอันเนื่องมาแต่อารมณ์ด้านร้ายที่มนุษย์มักจะเก็บรักษามันเอาไว้เสมอทั้งด้วยรู้ตัวและไม่รู้ตัว
ข้อสังเกตประการหนึ่งก็คือว่า มนุษย์มักจะปล่อยให้เมล็ดพันธุ์แห่งความสุขที่นอนเนื่องอยู่ภายในจิตใจของตนเองแห้งเหี่ยว โดยไม่มีการรดน้ำให้ชุ่มชื่น แต่กลับพยายามบ่มเพาะกล้าพันธุ์แห่งความทุกข์ ความไม่พอใจ ในสิ่งรอบข้างจนกลายเป็นอารมณ์ของความโกรธ ที่เปรียบดั่งพันธนาการที่ผูกมัดตนเองอย่างเจ็บปวด มันเป็นสิ่งที่ไม่น่าเชื่อ แต่ก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยการเลือกโดยปราศจากวิจารณญาณที่ใคร่ครวญของตัวมนุษย์เอง
เกิดอะไรขึ้นกับตัวมนุษย์ เกิดอะไรขึ้นกับภูมิปัญญาของมนุษย์ นั่นเป็นคำถามที่ควรค่าแก่การค้นหาคำตอยอย่างยิ่ง มนุษย์ไม่ควรเฝ้ารดน้ำให้แก่ความทุกข์ของกันและกัน แต่มนุษย์ควรต้องอยู่กับความสบายใจ และเมล็ดพันธุ์แห่งความสุขก็ควรจะต้องถูกปลุกให้ตื่นอยู่เสมอ
มนุษย์ควรจะมีความสุขได้ด้วยเมล็ดพันธุ์ดีๆ ที่แทรกสถิตอยู่กับตัวตนของตน ควรจะซาบซึ้งกับชั่วขณะหนึ่งขณะใดในชีวิตที่ค้นพบกับความรู้แจ้งด้วยวิธีการแห่งสติ อันหมายถึงปัญญาญาณที่เป็นปรากฏการณ์ที่เผยออกมาจากจิตสำนึกส่วนลึก
ท่านติช นัท ฮันห์ ได้ฝากทรรศนะอันเป็นวิธีการของความหลุดพ้น วิธีการที่จะทำให้มนุษย์ละทิ้งฟากฝั่งแห่งความโกรธ อันเป็นหนทางแห่งการเรียนรู้การบำเพ็ญสติในชีวิตที่ไม่อาจปฏิเสธได้
ทำไม “เธอยังคงยืนอยู่บนฟากฝั่งแห่งความโกรธและความทุกข์ ทำไมถึงไม่ออกจากฟากฝั่งนี้ไปยังอีกฟากฝั่งหนึ่งที่ปราศจากความโกรธ ที่มีแต่สันติภาพและอิสรภาพเล่า ที่นั่นน่าอยู่กว่ามาก ทำไมเธอถึงเสียเวลาหลายๆชั่วโมงเป็นทุกข์ไปกับความโกรธเล่า มีเรือให้เธอข้ามฟากสู่ฟากอีกฟากได้อย่างรวดเร็ว เรือนั่นก็คือการกลับมาที่ตัวเองโดยหายใจอย่างมีสติ”
ผมเชื่อว่าทรรศนะคำสอนของท่าน ติช นัท ฮันห์ ตามตัวอย่างที่ได้เลือกประเด็นกล่าวมาทั้งหมด มีบทสรุปอยู่ที่ การถือปฏิบัติแห่งความเป็นสมาธิโดยแท้
เมื่อมนุษย์รู้จักคิด มนุษย์ย่อมมีวิธีการ และเมื่อใดก็ตามที่มนุษย์รู้จักคิดใคร่ครวญอย่างลึกซึ้ง จนสามารถยกระดับให้อยู่เหนือไปจากความเป็นปัจเจกบุคคล เราก็จะได้พบสัจธรรมและแลเห็นความเป็นจริงที่อยู่ในจิตใจ นั่นหมายถึงว่าจิตใจของเราทุกคน ของมนุษย์ทุกคนย่อมมีการไหลเวียนอยู่ในตัวอย่างมีสติ
เมื่อความโกรธคือพาหะอันสำคัญที่จะทำให้อารมณ์ของมนุษย์ป่วยไข้ ความโกรธคืออาวุธร้ายที่จะประหัตประหารตัวเอง ผู้ได้อ่านหนังสือเล่มนี้จึงถือเป็นผู้โชคดีที่จะมีชัยชนะต่อพิษร้ายของชีวิต เราควรจะดำรงอยู่ด้วยการโอบอุ้มตนเอง ด้วยวิธีการที่จะน้อมนำเอาพลังแห่งสติเข้าไปแก้ไขกลุ่มก้อนของความทุกข์ ให้การไหลเวียนภายในจิตใจเป็นไปอย่างไร้ภาวะวิกฤต ซึ่งนั่นย่อมหมายถึงว่าเมล็ดพันธุ์แห่งความสุขจักบังเกิดขึ้นอย่างถาวรในจิตวิญญาณที่ลึกซึ้งของทุกๆขณะ และในวิถีปฏิบัติแห่งทุกๆคน นี่คือวิธีการ นี่คือสัจธรรมแห่งภูมิปัญญาในการดับทุกข์ของตัวตน “เราทำเช่นนี้เพื่อให้เมล็ดพันธุ์แห่งความกลัวได้ไหลเวียน ความกลัวเป็นตัวที่คอยขับเคลื่อนโทสะ ความกลัวนั้นเกิดจากอวิชชา ซึ่งการขาดความรู้ความเข้าใจนี่เอง คือต้นเหตุสำคัญของโทสะ”
และนี่คือหนังสือแห่งคุณค่า ที่ทำให้เราได้ดูแลชีวิตผ่านลมหายใจ ผ่านพลังแห่งการรู้เท่าทัน อำนาจของความโกรธ ความอิจฉาริษยา ตลอดจนความคับแค้นอันมีที่มาจากความกลัวที่ไม่รู้เหตุและผลภายในสำนึกด้านลึกของจิตใจ
เมื่อเรารู้ตัว นั่นหมายถึงข้อตระหนักในการเตรียมพร้อมที่จะต่อสู้และป้องกันตนเองจากอารมณ์ที่ผันผวนซับซ้อน ด้วยภูมิปัญญาแห่งสติ ด้วยชีวิตที่ยังมีชีวิต และด้วยลมหายใจที่ไหลลื่นกลมกลืนแห่งการดำรงอยู่ทั้งภายนอกและภายในความเป็นตัวตนของมนุษย์ทุกคน “หายใจเข้าฉันรู้ตัวทั่วพร้อม หายใจออกฉันรู้ตัวทั่วพร้อม”
และด้วยการกระทำเช่นนี้... เราจะได้ข้อตระหนักของสัจจะที่ว่า... เพียงเพราะความโกรธหรือความเกลียดที่เกิดขึ้น ไม่ได้หมายความว่าเราจะไร้ความสามารถที่จะรักและยอมรับ โดยเฉพาะหากถ้าเราแยบคายในฐานะของผู้ทำงานด้านสันติภาพ และผู้ปฏิบัติธรรม... ก็ย่อมจะช่วยให้ความรักความเข้าใจของตนและผู้อื่นกลับคืนมาใหม่
“โปรดอย่าเชื่อว่าในตัวของเธอปราศจากความรัก... ไม่จริงเลย... ในตัวของเธอมีความรักเสมอ...”