เจ้าหน้าที่การเงินของเทศบาลเทศบาลตำบลบุณฑริก ยักยอกเงิน 30,600,000 บาท หนีหายเข้ากลีบเมฆ นายกเทศมนตรี ยอมรับมีความรู้ระบบไอที น้อย และไว้ใจการทำงานของเจ้าหน้าที่ พร้อมฝากเตือนถึง อปท.ทุกแห่งเป็นบทเรียน ในขณะที่นายอำเภอรายงานถึงจังหวัด แล้ว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายวรพจน์ บุตรมาตร นายกเทศมนตรีเทศบาลตำบลบุณฑริก อำเภอบุณฑริก จังหวัดอุบลราชธานี ได้รายงานต่อนายอภัย วุฒิโสภากร นายอำเภอบุณฑริก และเข้าแจ้งความต่อ พ.ต.ท.คณิต เพียโคตร พนักงานสอบสวน สภ.บุณฑริก เมื่อวันที่ 14 มิถุนายน ที่ผ่านมาว่า ได้มีความผิดปกติของการเงินเทศบาลตำบลบุณฑริก และได้ทำการตรวจสอบพบว่าเงินกระแสรายวันของเทศบาล ได้ถูกโอนถ่ายออกไปจากบัญชีออมทรัพย์ธนาคารกรุงไทย เลขที่บัญชี 333-1-01198-3 ชื่อบัญชีเทศบาลตำบลบุณฑริก ในระยะช่วงเดือนพฤษภาคม เพียงเดือนเดียวกว่า 30,600,000 บาท โดยโอนเข้าบัญชี ส.อ.มยุรา เจ้าพนักงานการเงินและบัญชี ปฏิบัติการ เพียงบัญชีเดียว และ ส.อ.มยุรา ได้ขาดราชการหายไปตั้งแต่วันที่ 10 มิถุนายน 2565
ซึ่งจากการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่พบว่าการยักยอกเงินครั้งใหญ่ของเทศบาลตำบลบุณฑริกครั้งนี้ พบการโอนเงินจากธนาคารกรุงไทยสาขจาบุณฑริก ด้วยระบบ buntrarik SM T. ซึ่งเป็นระบบ KTB Coperate online ของธนาคารกรุงไทยเป็นระบบใหม่ของการจ่ายเงินด้วยการโอนเข้าบัญชีแทนการจ่ายเช็ค ตั้งแต่เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม. 2565 ไล่เรียงไปจนถึงต้นเดือนมิถุนายน ก่อนหลบหนี โดยบางวันโอนถึง 5 ครั้งการโอนเงินโอนครั้งละ 200,000-1,000,000. บาท โดยโอนครั้งละ 1,000,000 บาท ในวันที่ 3,7,12,22( 2 ครั้ง),23. (2 ครั้ง) เดือนพฤษภาคม 2565. รวมการโอน 47 ครั้ง. เป็นเงินรวมกว่า 30,600,000 บาทเศษ
เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2565 ที่ผ่านมา นายวรพจน์. บุตรมาตร นายกเทศมนตรีเทศบาลตำบลบุณฑริก กล่าวในเรื่องนี้ว่า ตนเองเป็นนายกฯเข้ามาใหม่ ระบบ KTB Coperate online. เป็นระบบใหม่ของธนาคารที่เริ่มใช้เมื่อเดือนมกราคมเป็นต้นมา ตนเองยังไม่เข้าใจระบบ ซึ่งต้องเรียนรู้จาก สอ.มยุรา ซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบการเงินบัญชี ซึ่งตอนนี้เงินถูกยักยอกไปรวมกว่า 30,600,000 บาท ซึ่งได้ไปแจ้งความต่อพนักงานสอบสวน และรายงานผู้บังคับบัญชาทราบ เป็นบทเรียนราคาแพงสำหรับตนเอง และขอฝากถึงนายกใหม่ๆทุกคน โดยเฉพาะผู้ที่ไม่เก่งด้านไอที ให้พึงระวัง อย่าประมาท อย่าไว้ใจใคร ต้องเคลียร์ให้ชัดและถูกต้องก่อนเบิกจ่ายเงินทุกครั้ง
นายสมรรถวีย ดวงศรี ปลัดเทศบาลตำบลบุณฑริก กล่าวว่ าเมื่อต้นเดือนมกราคมธนาคารกรุงเทไย สาขาบุณฑริก ได้แจ้งให้เทศบาลทราบว่าธนาคารจะเบิกจ่ายในระบบ KTB Coperate Online ตั้งแต่เดือนมกราคมเป็นต้นไป ทางเทศบาลได้มอบหมายให้เจ้าพนักงานการเงินโดย สอ.มยุรา ไปประสานดำเนินการ เพื่อทำการเบิกจ่ายเงินรายจ่ายประจำของเทศบาลไปก่อน เพราะเป็นระบบใหม่ซึ่งที่ผ่านมาก็เสนออนุมัติจ่ายตามปกติ แต่ในเดือนพฤษภาคม ต่อเดือนมิถุนายน ไม่มีการรายงานระบบของธนาคารให้ผู้บริหารรับทราบ มารับทราบเมื่อวันที่ 14 มิถุนายน.2565 โดยการตรวจพบข้อผิดปกติของกองคลัง ซึ่งตอนนี้ได้รายงานผู้บังคับบัญชาและหน่วยที่เกี่ยวข้องแล้ว
นายอภัย. วุฒิโสภากร นายอำเภอบุณฑริก ซึ่งกำกับดูแล เทศบาลกล่าวว่า ได้รับรายงานเรื่องนี้แล้ว และได้ทำรายรานถึงผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานี เพื่อแต่งตั้งกรรมการสอบข้อเท็จจริงแล้ว ซึ่งรอว่าทางจังหวัดจะสั่งการอย่างไร ระบบการจ่ายเงิน. KTB Coperate Online เป็นระบบจ่ายเงินที่มีรหัสโดยผู้มีอำนาจคือนายก,ปลัด,ผอ.ส่วนการคลัง ที่จะมีรหัสที่สามารถดำเนินการเบิก หรือโอนจ่ายได้ ซึ่งอาจจะให้ความไว้วางใจเจ้าหน้าที่มากเกินไป จนเกิดการทุจริตของเจ้าหน้าที่ระดับปฏิบัติได้ ซึ่งอาจจะมีการละเลยตรวจสอบไม่ควบคุมดูแลอย่างใกล้ชิด ทำให้เกิดการโอนยักยอกดังกล่าว ซึ่งต้องตั้งกรรมการสอบข้อเท็จจริง มีการลงโทษทางวินัย หรือชดใช้เงินหากไม่สามารถติดตาม หรือทวงเงินกลับมาได้
ผู้สื่อข่าวได้ติดตามไปที่บ้านนางปราณี ซึ่งเป็นป้าของ สอ.มยุรา. และเป็นผู้อุปการะ สอ.มยุรา มาแต่เด็กจากที่พ่อ-แม่ แยกทางกัน นางปราณีกล่าวว่า สอ.มยุรา. ออกจากบ้านไปตั้งแต่วันที่ 10 มิถุนายน บอกว่าจะไปอำเภอตระการพืชผล หาเพื่อนที่เป็นทหารด้วยกัน และมาทราบภายหลังว่า สอ.มยุรา. ได้ไปก่อเหตุยักยอกเงินเทศบาลไป นางปราณีกล่าวว่ารู้สึกเสียใจที่หลานไปทำเช่นนี้. ไปที่ไหนก็อายคน นางปราณีพูดด้วยน้ำตา พร้อมวิงวอนให้ สอ.มยุรา กลับมารับผิดที่ตนเองทำ โทษหนักจะได้เป็นเบา
สำหรับ สอ.มยุรา. เดิมเป็นทหารการเงิน-บัญชี อยู่กระทรวงกลาโหม และโอนย้ายไปสังกัด เทศบาลตำบลบุณฑริก ในตำแหน่งเจ้าพนักงานการเงิน ระดับปฏิบัติงาน เมื่อเดือนตุลาคม พ.ศ. 2564 ซึ่งแหล่งข่าวระบุว่าระยะหลัง สอ.มยุรา ติดการพนันออนไลน์งอมแงม ซึ่งขณะนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ออกสืบสวนติดตามตัว สอ.มยุรา ตามที่ต่างๆโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ฝากถึงผู้พบเห็นหรือช่วยเหลือ สอ.มยุรา ให้แจ้งเบาะแสแก่ตำรวจ ไม่เช่นนั้นจะเป็นการช่วยเหลือผู้ต้องหาถือว่ามีความผิด