จากกรณีกระแสร้อนแรงในเฟสบุ๊กค์ "กลุ่มคนรักบุฟเฟต์" (Buffet Lovers) ได้มีการโพสต์ข้อความกรณีที่มี ร้านอาทหารญี่ปุ่นชื่อดัง ซึ่งมีหลายสาขา ได้เปิดขาย บัตรกำนัล (Voucher) ผ่านแอปพลิเคชัน ซึ่งมีลูกค้าจำนวนมากให้ความสนใจสั่งซื้อ Voucher ร้านดังกล่าว

โดยบรรดาลูกค้าที่สั่งซื้อVoucher ร้านดังกล่าว ได้เดินทางไปเพื่อใช้บริการ แต่ปรากฏว่าร้านอาหารญี่ปุ่นชื่อดังได้ปิดร้าน โดยลูกค้าบางคนได้ เข้าไปดูทางเพจเฟซบุ๊ก และเว็บไซต์ ของทางร้านอาหารดังกล่าวได้หายไป และบางรายได้โพสต์รูปเข้าไปยังเพจ "กลุ่มคนรักบุฟเฟต์" (Buffet Lovers) เป็นรูปหน้าร้านดังกล่าวปิดให้บริการ และมีป้ายเขียนว่าหยุดให้บริการชั่วคราว ทำให้ลูกค้าที่ได้ซื้อ Voucher ของทางร้านรู้สึกกังวลใจ เกรงว่าจะซ้ำรอยกรณีร้านอาหารซีฟู้ดชื่อดัง ตามที่ทได้เสนอข่าวไปแล้วนั้น

ล่าสุด เมื่อวันที่ 20 มิ.ย.65 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เพจเฟสบุ๊ก "สรยุทธ สุทัศนะจินดา กรรมกรข่าว" ได้โพสต์ข้อความ ระบุว่า ผู้เสียหาย 5 กลุ่ม หนักสุดก็น่าจะกลุ่มแฟรนไชส์ ครับ …

สคบ.ลุยตรวจร้านดารุมะ ซูชิ คูปองทิพย์ ตั้งข้อสังเกตพฤติกรรมเจ้าของร้าน เจตนาฉ้อโกง รู้ว่าธุรกิจไม่ดี แต่ระดมทุนขายคูปองราคาถูก ได้เงินแล้วหนี พบเดินทางออกนอกประเทศตั้งแต่ 17 มิ.ย.

พันตำรวจเอก ประทีป เจริญกัลป์ รองเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค หรือ สคบ. พร้อมคณะ ลองพื้นที่ ตรวจสอบร้าน ดารุมะซูชิ บุฟเฟ่ต์แซลม่อน ที่ปิดร้านกะทันหันแต่ขายคูปองให้ลูกค้ากว่าแสนใบ ไม่สามารถใช้บริการได้

จากการตรวจสอบ สาขาเดอะแจส รามอินทรา พบว่า ร้านปิดเหมือน สาขาอื่นๆ โดยหน้าร้าน เขียนป้ายว่า ขอภัยค่ะ ปิดบริการ โดยทางผู้ให้เช่าสถานที่ ให้ข้อมูลว่า ทางร้าน ค้างค่าเช่า 2 เดือนแล้วก็หายไป

ซึ่งปกติร้านนี้ขายดีมาก ลูกค้ามารอเต็มหน้าร้าน แต่เมื่อวันศุกร์ช่วงเช้า ร้านเปิดก็มีลูกค้ามารอ จนกระทั่งรู้ข่าวว่าร้านปิดบริการ ทางสถานที่ให้เช่าก็เพิ่งทราบข่าววันเดียวกัน

พันตำรวจเอกประทีป ระบุว่า พฤติกรรมของเจ้าของร้าน ส่อเจตนาฉ้อโกง เนื่องจาก เจ้าของร้าน รู้ตัวอยู่แล้วว่าธุรกิจไม่ดี จึงจัดโปรโมทชั่นเร่งระดม โปรโมทชั่น ยิ่งซื้อเยอะจะได้ราคาถูก และพึ่งทำได้ไม่นาน พอได้เงินก็ไป

โดยทางสคบ. ออกหนังสือเรียกนายเมธา ชลิงสุข เจ้าของกิจการ มาให้ข้อมูลแล้ว แต่ติดต่อไม่ได้

จากการตรวจสอบข้อมูลกับ ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง พบว่า นายเมธา เดินทางออกนอกประเทศไปแล้ว
ซึ่งข้อมูลของสคบ.ตรวจพบว่า ช่วงแรก เจ้าของร้าน ประกอบธุรกิจอาหารจริง แต่ประสบปัญหาหนี้สิน จึงจัดโปรโมชั่น แต่ราคาไม่สอดคล้องกับสถานการณ์จริง ต้นทุนสูงแต่ ขายถูก และยังมีหนี้สินจากซัพพลายเออร์ และค้างค่าเช่าที่ จึงระดมจัดโปร 199 กินไม่อั้น และพึ่งขายได้ไม่นาน การกระทำนี้ คือ เจตนาฉ้อโกง

ในส่วนของการดำเนินการตรวจสอบ ต้องแยกเป็น5 กลุ่ม
1.กลุ่มผู้เสียหายที่ซื้อคูปอง
2.กลุ่มพนักงานในร้าน
3.แฟรนไชส์
4.ซัพพลายเออร์
5.กลุ่มเจ้าของสถานที่

กรณีนี้การซื้อขายคูปองทางแอพพลิเคชั่น หากปิดแอพไปก็จะไม่มีหลักฐาน จึงขอให้ผู้เสียหาย ให้ปริ้นเอกสารไว้เพื่อเป็นหลักฐานดำเนินคดีได้

หลังจากนี้ ทางสคบ.จะหามาตราการในการควบคุมดูแล กลุ่มผู้ประกอบการที่จัดโปรโมทชั่นแบบนี้ เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำรอย และให้ประชาชน สังเกตุความผิดปกติ ราคาถูกเกินไปหรือไม่ ราคาเป็นแรงจูงใจ จ่ายก่อน บริการทีหลัง ให้ดูรายละเอียดให้ดี

ส่วนกรณีของกลุ่มผู้ค้า ที่กดคูปองมาขายต่ออีกครั้ง ตามนิติกรรมสัญญา คนที่รับผิดชอบโดยตรง คือคนที่กดคูปองมาขาย แต่เรื่องนี้ต้องไปตรวจสอบอีกครั้ง รวมทั้งผู้ซื้อแฟรนไชส์ด้วย ว่ารู้เห็นหรือไม่ และเส้นทางการเงิน การซื้อคูปอง เงินเข้าบริษัทโดยตรง หรือผ่านสาขา