ลีลาชีวิต / ทวี สุรฤทธิกุล

 

บางครั้งเราก็ไม่เข้าใจว่าชีวิตนั้นดีขึ้นหรือเลวลงเพราะอะไร แต่ธิดาวดีดูเหมือนจะเชื่อในเรื่อง “เหลือเชื่อ” บางอย่างนั้นด้วย

                  

ตอนที่ธิดาวดีเอนทรานซ์เข้ามหาวิทยาลัยได้ พ่อกับแม่ไม่ได้ดีใจเท่าใดนัก รวมถึงที่ไม่ได้แสดงอารมณ์ร่วมอะไรด้วยเลย ต่างกับตอนที่พี่ชายสอบเข้ามหาวิทยาลัยไม่ได้ และอีกครั้งในปีที่น้องชายก็พลาด พ่อกับแม่ดูจะตีโพยตีพายเสียอกเสียใจอยู่มาก นี่คงเป็นเพราะเธอเป็นลูกคนกลาง ที่ใคร ๆ ว่าเป็นลูกที่อาภัพ อย่างที่ฝรั่งเรียกว่า “เวนสเดย์ไชล์ด” นั้น

                  

ก่อนหน้านั้นธิดาวดีมีชื่อว่า “ธิดา” เฉย ๆ ซึ่งเป็นชื่อที่พ่อแม่ตั้งให้มาตั้งแต่แรกคลอด แต่พ่อแม่ก็ไม่ได้ตั้งชื่อเล่นอะไรให้ ต่างจากพี่ชายและน้องชายที่มีชื่อเล่นว่า “บอย” กับ “บอม” ซึ่งพอเธอเข้าโรงเรียน เพื่อน ๆ ก็ถามว่าชื่อเล่นว่าอะไร เธอตอบไม่ได้ เพื่อนก็เลยเรียกเธอว่า “ธิ” หรือถ้าสนิทกันก็จะเรียกว่า “ยัยธิ” แต่ถ้าคนที่ไม่ชอบก็จะเติม “อี” เข้าไปข้างหน้า แต่ถ้าเป็นคนที่เกลียดหรืออยากล้อเลียนเธอก็จะเรียกว่า “นังกะทิ” หรือ “กะทิเน่า” ไปโน่นเลย ทำให้เธอไม่ชอบชื่อธิดานี้เลย พอเธอเข้าเรียนชั้นมัธยมเธอจึงตั้งชื่อเล่นของเธอขึ้นเองว่า “ทีด้า” และบอกใครต่อใครที่ถามว่ามีที่มาจากไหน ว่าเป็นชื่อเทพธิดาองค์หนึ่งของฝรั่ง อย่างที่รถยนต์ญี่ปุ่นยี่ห้อหนึ่งเอามาตั้งเป็นชื่อรถรุ่นหนึ่งของรถยี่ห้อนั้น

                  

ตอนที่ธิดาขึ้นปี 3 เธอมีอายุได้ 20 ปีพอดี เธอตั้งใจมานานแล้วว่าถ้าเธอบรรลุนิติภาวะเมื่อไร เธอจะไปเปลี่ยนชื่อนี้ทันที ตอนแรกเธอก็คิดมากว่าจะบอกพ่อกับแม่ก่อนดีไหม แต่พอมาคิดดูอีกครั้งก็คิดว่าไม่บอกจะดีกว่า กระนั้นเธอก็ยังไม่กล้า จนเธอแอบไปได้ยินจากเพื่อน ๆ นิสิตร่วมคณะบางคนมาเล่าว่า ได้ไปดูหมอที่สมาคมโหรหน้าวัดบวรฯมา ที่นั่นนอกจากจะมีหมอดูหลายคน ที่ล้วนแต่ระดับปรมาจารย์ทั้งนั้น ก็ยังมีบริการรับเปลี่ยนชื่อและเสริมดวงต่าง ๆ ด้วย ทำให้เธอสนใจขึ้นมาทันที และก็ได้แอบไปที่สมาคมโหรนั้นโดยลำพังในอีกสองสามวันต่อมา

                  

เธอเลือกหมอดูที่เป็นผู้หญิง เพราะดูชื่อของหมอแล้ว “วิลิสมาหรา” น่าสนใจดี น่าจะช่วยเปลี่ยนชื่อของเธอให้ดูโอ่อ่าหรูหราตามไปได้ด้วย เธอเริ่มจากดูดวงเสียก่อน พอมั่นใจว่าหมอดูได้ค่อนข้างแม่น หลังจากที่การทำนายจบลงเธอก็ขอปรึกษาเรื่องการเปลี่ยนชื่อ หมอบอกว่าชื่อของเธอไม่มีกาลกิณีหรือเสียหายอะไร แต่เธอก็เซ้าซี้ขอชื่อใหม่จากหมอ ที่สุดหมอก็ตกลง โดยบอกว่าจะเอาแค่ “เติมพลังมงคล” เข้าไปในชื่อของเธอ จึงได้ชื่อออกมาเป็น “ธิดาวดี”นี้ ซึ่งธิดาก็ไม่ค่อยพอใจนัก เพราะเธออยากเปลี่ยนใหม่ไม่ให้เหมือนเดิม และดูเหมือนว่าหมอก็จะมองสีหน้าของธิดาออก จึงพูดสำทับขึ้นว่า “ธิ-ดา-วะ-ดี คำว่า วะ เป็นคำที่ทรงพลังสูงสุด มาจากคำว่า องค์ศิวะ พระศิวะคือเทพที่มีพลังมากที่สุด ปวงเทพอื่นยกย่องให้เป็นหัวหน้า อยู่บนยอดเขาไกรลาส เหมือนของฝรั่งที่ยกย่องเทพซุสหรือจูปิเตอร์ว่าเป็นจอมเทพอยู่บนยอดเขาโอลิมปัสนั้น”

                  

พ่อกับแม่มารู้ว่าเธอเปลี่ยนชื่อก็ตอนในวันที่รับปริญญา แต่พ่อแม่ก็ไม่ได้แสดงความโกรธหรืออารมณ์อื่นใดออกมาอย่างเช่นทุกเรื่องที่เกิดขึ้นกับเธอ ทำให้เธอเชื่อมั่นว่าชื่อธิดาวดีน่าจะดีสำหรับเธอจริง ๆ เพราะนอกจากจะ “สะกดจิต” ให้พ่อกับแม่ไม่โวยวายอะไรแล้ว ยังส่งพลังให้เธอมีผลการเรียนที่ดีมาก ๆ เพราะทำเกรดได้ถึงเกียรตินิยมอันดับสอง แต่ที่เธอรู้สึกดีมากก็เพราะเมื่อไปบอกเรื่องนี้กับพ่อแม่ พวกเขาก็ทำท่าตกใจเหมือนไม่เชื่อหู ซึ่งนั่นได้ทำให้เธอเชื่อว่าชื่อนี้มีพลัง เพราะสามารถทำให้พ่อกับแม่แสดงสีหน้าตื่นเต้นออกมาได้ แต่ที่ทำให้เธอชอบชื่อนี้อย่างมั่นใจก็คือ ในเดือนต่อมาที่เธอไปสมัครเข้าทำงานในบริษัทบัตรเครดิต ผู้จัดการฝ่ายที่มาสัมภาษณ์เธอบอกว่าชื่อนี้เพราะดี แล้วพอสัมภาษณ์เสร็จเขาก็บอกว่าบริษัทรับเธอเข้าทำงานแต่เพียงผู้เดียว ต่อมาผู้จัดการคนนี้ก็มาชอบเธอและขอเธอแต่งงาน เขาก็คือ “นิธิ” พ่อของลูกสองคนของเธอในเวลาต่อมานั่นเอง ซึ่งเธอเชื่อว่าทั้งหมดนี้เป็นผลมาจาก “วะ - พลังมหาศาลของพระศิวะ” ในชื่อ “ธิดาวดี” นี้

                  

เธอทำงานได้ 2 ปี ก็สอบได้ทุนของรัฐบาลไปเรียนปริญญาโทด้านการค้าระหว่างประเทศ ตอนแรกที่เธอไปขอลาออกจากบริษัท ๆ ก็ไม่ให้ลาออก โดยจะสงวนตำแหน่งไว้ให้ ซึ่งเธอมาทราบภายหลังตอนที่แต่งงานกับนิธิแล้วเมื่อเธอเรียนจบมาแล้วว่า เขาไปโน้มน้าวกรรมการผู้จัดการใหญ่ของบริษัทว่า บริษัทกำลังต้องการคนที่เธอไปเรียนต่อปริญญาโทนั้น จนบริษัทยอมเก็บตำแหน่งงานไว้ให้เธอ ทั้งยังยอมจ่ายเงินให้กับรัฐบาลไทยเพื่อชดเชยค่าทุนเล่าเรียนที่รัฐบาลจ่ายให้กับเธอเป็นจำนวนถึง 3 เท่าของทุนเล่าเรียน ที่เป็นจำนวนเงินเกือบห้าล้านบาท ซึ่งเพียงปีเดียวที่เธอกลับมาในแผนกที่เธอทำงานก็ทำกำไรให้กับบริษัทเพิ่มขึ้นนับ 100 ล้านบาท เธอทำงานมาอีก 2 ปีจนคลอดลูกคนแรก เธอก็ลาออกมา บริษัทยังจ่ายเงินชดเชยตามกฎหมายและเงินรางวัลในผลงานที่ดีเด่นนั้นอีกหลายล้านบาท

                  

ตอนที่เธอตั้งท้องลูกคนแรก พ่อกับแม่ของเธอตั้งบริษัทนำเข้าและส่งออกสินค้าขึ้นมาได้สัก 2-3 ปีแล้ว และขอให้เธอมาช่วย นั่นก็เป็นเหตุผลหนึ่งที่เธอได้ตัดสินใจลาออกจากบริษัทบัตรเครดิตที่เธอทำงานอยู่ พอคลอดลูกได้สักหกเดือน เธอก็เข้าไปช่วยบริษัทของพ่อแม่อย่างเต็มตัว ส่วนนิธิที่ออกมาจากบริษัทบัตรเครดิตนั้นเช่นกัน อย่างที่คนในบริษัทล้อว่าลาออกตามภรรยา แต่ความจริงคือเขาได้งานที่บริษัทการค้าข้ามชาติขนาดใหญ่และได้เงินเดือนมากกว่าที่เดิมกว่าเท่าตัว ทั้งยังเป็นงานบริหารที่สบายกว่าที่เดิมมาก ทำให้เขามีเวลามาช่วยเธอเลี้ยงดูลูก ซึ่งนิธิก็ทำได้ดีมาก จนเธอรู้สึกเหมือนว่าชื่อใหม่ของเธอนี้ “ส่งพลัง” ให้เธออย่างต่อเนื่อง ด้วยความสำเร็จ และที่สำคัญคือ “มีความสุข” ในทุก ๆ ทาง

                  

ตอนที่เธอทำงานสมัยแรก ๆ ในบริษัทบัตรเครดิตที่มีนิธิเป็นหัวหน้าของเธอ เธอได้ชื่อว่าเป็นคนที่ “แข็งกร้าว” มาก ๆ นั่นก็เป็นเพราะว่าเธอไม่ค่อยไว้ใจใคร ๆ รวมถึงถูกสั่งสอนมาให้ระมัดระวังตัวโดยรอบด้าน โดยเธอต้องต่อสู้แก้ไขปัญหาต่าง ๆ มาด้วยตัวเธอเอง เพราะพ่อกับแม่ไม่ได้เอาใจใส่กับเธอมากนัก ยิ่งในตอนเข้ามหาวิทยาลัยเธอยังต้องหาเงินมาซื้อของ “สวย ๆ งาม ๆ” อย่างที่เธออยากได้ตามประสาสาว ๆ ด้วยการหารายได้พิเศษจากการรับจ้างพิมพ์งานและขายของกระจุกกระจิก โดยเฉพาะของที่เป็นแฟชั่นหรือ “เทรนด์ใหม่” ที่เธอมักจะค้นพบจากแคตตาล็อกของเมืองนอกได้เป็นคนแรก ๆ ทำให้สินค้าของเธอขายดี นิสัยนี้มีมาถึงในการทำงานของเธอ เพราะเธอก็จะมีข้อมูลเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ให้กับผู้บริหารอยู่เสมอ ๆ ทำให้บริษัทสามารถกระตุ้นยอดการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต ด้วยการนำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ เหล่านั้นเข้ากับการพัฒนาการให้บริการทางด้านการเงินผ่านบัตรเครดิตของบริษัทนั้น

                  

นิสัยที่แข็งกร้าวของเธอเปลี่ยนไป เมื่อเธอต้องมาทำงานในบริษัทของพ่อแม่ เพราะไม่ได้มีรากฐานทางวัฒนธรรมองค์กรที่มีมาตรฐานแบบบริษัทบัตรเครดิตของฝรั่ง แต่นี่เป็นบริษัทของคนไทยที่เพิ่งก่อตั้งขึ้น ทั้งยังเป็นบริษัทแบบครอบครัวซึ่งมีปัญหามากมาย แต่ธิดาวดีก็ทำได้ โดยใช้วัฒนธรรมแบบไทย ๆ นั่นแหละ

                  

แต่กว่าที่เธอจะเข้าใจ “ความเป็นคนไทย” เพื่อแก้ปัญหาแบบไทย ๆ ก็ทำเอาเธอแทบถอดใจอยู่หลายครั้ง