ปากกาขนนก / สกุล บุณยทัต

         

“มีชีวิตของสัตว์โลกอยู่มากมายที่ดำรงอยู่มาเป็นเวลายาวนาน ก่อนที่มนุษย์จะเรียนรู้และได้มีโอกาสที่จะรู้จักกับพวกเขา ผ่านวิถีชีวิตอันเป็นส่วนตัวในลักษณะนานา บ้างเป็นสัตว์ที่มีชีวิตอันเคยคุ้น บ้างก็เป็นชีวิตเฉพาะ..ที่ไม่คุ้นกับภาวะสัมผัส...แต่นั่นคือโลกแห่งความจริงของสิ่งที่มีชีวิตอยู่มามากกว่าสี่พันล้านปี ขณะที่โลกที่เรามีชีวิตอยู่นี้มีอายุอยู่จนถึงวันนี้ได้ประมาณสี่พันหกร้อยล้านปีเพียงเท่านั้น..

        

ว่ากันว่าทุกวันนี้มีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่บนโลกของเรานี้มากกว่า แปดล้านเจ็ดแสน สปีซีส์...ซึ่งตลอดระยะเวลาอันยาวนานนี้ สิ่งมีชีวิตบางสปีซีส์ยังดำรงอยู่ ในขณะที่บางสปีซีส์ได้ล้มหายตายจากไปหมดแล้ว...ในบรรดาสิ่งมีชีวิตเหล่านั้น มนุษย์ลิงซึ่งเป็นบรรพบุรุษของมนุษย์ เพิ่งจะถือกำเนิดขึ้นเมื่อเจ็ดล้านปีที่แล้วนี้เอง...จึงถือได้ว่า..พวกมนุษย์เรายังอ่อนเยาว์นัก และถ้าเมื่อนำไปเทียบกับสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นๆ ...วิถีชีวิตของมนุษย์ก็ดูจะไม่มีที่แน่นอนเอาเสียเลย...มนุษย์เราแทบไม่รู้เลยว่าทำไม สัตว์ตัวนิดเดียวจึงกล้าเผชิญหน้ากับสิงโต ..สลอธใช้ชีวิตราวกับพระพุทธเจ้า...และจริงๆแล้วยีราฟจัดเป็นสัตว์ที่แข็งแกร่งเป็นอันดับต้นๆของแอฟริกา...พวกเราต่างไม่รู้ว่าบรรดาสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ใช้ชีวิตกันแบบไหน และไม่รู้ด้วยว่าตัวเองควรใช้ชีวิตอย่างไร?”

         

“วิธีใช้ชีวิตที่มนุษย์ไม่รู้” (LIFE) ..หนังสือภาพที่บอกกล่าวถึงประเด็นข้างต้นอย่างลึกซึ้งและกว้างไกล.. โดย “อาโซ ฮาโระ” นักวาดภาพมังงะชื่อดังชาวญี่ปุ่น...จากเรื่องราวการค้นคว้าและเขียนบรรยายโดย “ชิโนฮาระ คาโอริ” ราชินีชีววิทยา/โอตาคุสิ่งมีชีวิต..

               

เราจะพบว่าสัตว์บางสายพันธุ์อยู่ในฐานะของการเป็นแบบอย่างที่ดี แต่กับบางสายพันธุ์กลับอยู่ในฐานะแบบอย่างที่ไม่ดี.....ว่ากันว่าเมื่อมนุษย์ในฐานะผู้อ่านได้อ่านหนังสือเล่มนี้แล้ว ก็จะมองเห็นลีลาชีวิตของสรรพสัตว์ทั้งหลาย...ขณะเดียวกับที่ มนุษย์เองก็น่าจะมองเห็นวิธีใช้ชีวิต ในแบบของตัวเองขึ้นมาเช่นเดียวกัน...หนังสือเปิดเรื่องด้วยชีวิตของ”เพนกวิน”(Penquin)ที่มีข้อคิดจากความเป็นตัวตนของพวกเขาระบุว่า

                    

“คนเด่นจะเป็นภัย”(แต่คนเด่นนี่แหละที่จะเปลี่ยนโลก) เพนกวิน..มีถิ่นอาศัยอยู่ในทวีปแอนตาร์กติกา มีความสูงของร่างกายเพียง 1.1-1.3 เมตรเท่านั้น..พวกเขาเป็นสัตว์สังคมที่อยู่รวมกันเป็นฝูงเช่นเดียวกับมนุษย์..ในสังคมมนุษย์นั้น

               

“การทรยศหักหลัง”เป็นสิ่งที่อยู่กับสังคมมนุษย์ที่เต็มไปด้วยความอยากได้อยากมี..แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่า มันเป็นสิ่งที่สามารถพบเจอได้ในสังคมมนุษย์เท่านั้น... “เพนกวิน” ก็เช่นกัน

             

นกตระกูลเพนกวินส่วนใหญ่มีคู่เพียงตัวเดียวชั่วชีวิต การเกี้ยวพาราสีจึงเป็นสิ่งที่พวกมันให้ความสำคัญมาก ...พฤติกรรมการเกี้ยวพาราสีของเพนกวินมีหลายรูปแบบแตกต่างกันไปในแต่ละสายพันธุ์...แต่แบบที่ขึ้นชื่อที่สุดคือพฤติกรรม “แสดงความปลาบปลื้ม” (Ecstatic Display)  โดยเฉพาะเพนกวินตัวผู้จะกางปีกที่เหมือนครีบออก โก่งคอไปด้านหลัง แล้วส่งเสียงร้องแหลมสูงเพื่อเรียกร้องความสนใจจากตัวเมีย...

             

อย่างไรก็ตาม เพนกวินจักรพรรดิตัวเมียจะออกไปหาอาหารในทะเล ทิ้งให้ตัวผู้ยืนกกไข่ท่ามกลางความหนาวเหน็บของขั้วโลกใต้ที่อุณหภูมิสามารถลดลงไปได้กว่า-60 องศาเซลเซียส แถมยังไม่ได้ยินอะไรเลยติดต่อกันประมาณ 65 วัน จึงไม่แปลกที่พอลูกเพนกวินฟักออกจากไข่แล้วตัวผู้จะน้ำหนักลดลงไปกว่า 20 เปอร์เซ็นต์...

            

นี่เป็นเรื่องราวที่ฟังดูน่าประทับใจ แต่ก็มีด้านมืดที่น่ากลัวอยู่ด้วยเช่นกัน เช่นในกรณีที่ลูกเพนกวินเกิดตายขึ้นมา แม่เพนกวินมักไปขโมยลูกของตัวอื่นมาเลี้ยงแทน แต่เลี้ยงได้ไม่นานก็จะเลิกสนใจ ทำให้ลูกเพนกวินที่ถูกขโมยมาส่วนใหญ่จะตายเพราะขาดการดูแล..

            

จากสัตว์ตัวเล็กๆ การเรียนรู้ในเชิงข้ามขยายมาสู่สัตว์ใหญ่ที่เต็มไปด้วยพลังอำนาจจึงเป็นเรื่องราวที่ชวนศึกษาและน่าใส่ใจมองอย่างยิ่ง.. “สิงโต” เป็นสัตว์ตระกูลแมวใหญ่ ที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับสองรองจากเสือและเป็นแมวเพียงสายพันธุ์เดียวที่อยู่รวมกันเป็นฝูง

           

ทำไมสิงโตถึงอยู่กันเป็นฝูงล่ะ?...ที่จริงไม่ว่าจะอยู่ตัวคนเดียวหรืออยู่เป็นฝูง อัตราความสำเร็จในการล่าเหยื่อก็ไม่ได้แตกต่างกันสักเท่าไหร่  สาเหตุที่สิงโตอยู่รวมตัวกันเป็นฝูงจึงน่าจะเป็นเพราะ ต้องการจะครอบครองทำเลที่มีน้ำและอาหารอุดมสมบูรณ์ อันหมายถึง “จุดที่แม่น้ำไหลมาบรรจบกันตลอดทั้งปี..”

    

โดยทั่วไปแล้ว...ฝูงสิงโตจะประกอบด้วยตัวผู้ 1 ตัว ตัวเมียหลายตัว และบรรดาลูกสิงโตที่อายุต่ำกว่า2ปี ส่วนใหญ่แล้วตัวเมียเป็นผู้แบกรับงานต่างๆของฝูง ในขณะที่ตัวผู้รอกินเหยื่อที่ตัวเมียล่ามาได้เป็นตัวแรก และใช้เวลาที่เหลือในแต่ละวันไปกับการนอนใต้ร่มไม้... โดยรวมแล้วสิงโตตัวผู้จะนอนมากถึง20ชั่วโมงต่อวันเลยทีเดียว แต่สาเหตุไม่ได้มาจากความขี้เกียจ แต่เป็นเพราะสิงโตมีอัตราความสำเร็จในการล่าต่ำ มันจึงต้องประหยัดพลังงาน ด้วยการขยับเขยื้อนให้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ ..ด้วยเหตุนี้สิงโตที่อยู่ในสวนสัตว์ จึงต้องมีวันงดอาหารเพื่อไม่ให้กินมากเกินไป..

             

หากมองดูเผินๆ ชีวิตของสิงโตตัวผู้อาจดูสุขสบาย แต่ก็ไม่ใช่อย่างนั้นเสียทีเดียว..สิงโตตัวผู้จะถูกไล่ออกจากฝูงตอนอายุได้ประมาณ 2 ปี ในช่วงนี้มันต้องเร่ร่อนหาเหยื่อเพียงลำพัง หรือกับพี่น้องไม่กี่ตัว ด้วยความที่ยังอ่อนประสบการณ์ สิงโตตัวผู้ส่วนใหญ่จึงอดตาย หรือไม่ก็ถูกฆ่า เพื่อให้ตนเองได้มีฝูง สิงโตตัวผู้ต้องสู้กับสิงโตจ่าฝูงและเอาชนะให้ได้เสียก่อน....แน่นอนว่า สิงโตจ่าฝูงย่อมไม่ยอมง่ายๆ และทางฝั่งตัวเมียก็จะพยายามขัดขวางสุดกำลัง เพราะการเปลี่ยนจ่าฝูงหมายถึงลูกของมันจะถูกฆ่า...ต่อให้สู้ชนะจ่าฝูงเดิม ก็ใช่ว่าสิงโตตัวผู้จะได้ครอบครองฝูงโดยอัตโนมัติ มันต้องรอให้ตัวเมียประเมินและเห็นชอบเสียก่อน สิงโตตัวผู้จึงต้องเกรงใจตัวเมียอยู่พอสมควร...

             

เกณฑ์การประเมินที่ตัวเมียให้ความสำคัญเป็นอันดับต้นๆ ก็คือขนแผงคอ ตัวเมียจะชอบแผงคอที่ดกหนาและมีสีเข้ม ทั้งนี้เพราะความเข้มของแผงคอขึ้นอยู่กับฮอร์โมนเพศชาย ยิ่งสีเข้มก็ยิ่งเท่ากับมีฮอร์โมนเพศชายสูงนั่นเอง..แต่แม้จะฝ่าฟันอุปสรรคจนได้ครอบครองฝูงในที่สุด ทันทีที่แพ้ฝูงก็จะถูกยึด ลูกจะถูกฆ่า ...จากการศึกษาพบว่า ตัวผู้จะคงตำแหน่งจ่าฝูงไว้ได้เพียงประมาณ 3-4 ปีเท่านั้น ..เรียกได้ว่าชีวิตของสิงโตตัวผู้ไม่มีเวลาไหนที่จะอยู่อย่างเป็นสุขเลย...แต่ถึงอย่างนั้นสิงโตตัวผู้ก็มักจะเลือกที่จะยืนหยัดสู้ไม่ถอย “เพราะการถอดใจไม่สู้ หมายถึงความตาย...นี่คือกฎเหล็ก..”

            

สัตว์ที่น่าสนใจอีกชนิดหนึ่งซึ่งเกิดก่อนมนุษย์นานมากคือ “จิงโจ้”..สัตว์ที่มีอยู่แต่ในประเทศออสเตรเลีย และเป็นที่รู้จักกันดีว่า...มันมีแต่ไปข้างหน้าได้อย่างเดียว...จิงโจ้เคลื่อนที่ด้วยความเร็วที่มากกว่า 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และแค่กระโดดครั้งเดียวก็ไปได้ไกลถึง 128 เมตรได้แบบสบายๆ..ที่ออสเตรเลียจิงโจ้ไม่มีศัตรู มันจึงแพร่พันธุ์ได้มากมายทั่วประเทศ แต่แม้จะไม่สู้กับสัตว์อื่น บางครั้งจิงโจ้ก็สู้กันเอง

 

“หากตัดสินใจแล้วว่า จะไม่มีวันหันหลังกลับไป ..ชีวิตก็ย่อมมีโอกาสและความเป็นไปได้..” จิงโจ้เป็นสิ่งมีชีวิตที่น่าอัศจรรย์..โครงสร้างร่างกายของจิงโจ้มีลักษณะเฉพาะตัว ตัวเมียมีอวัยวะเพศถึง 3 แห่ง ในขณะที่อวัยวะเพศของตัวผู้จะแยกออกเป็นสองแฉกและมีอัณฑะอยู่ข้างบน แต่ลักษณะพิเศษที่น่าจะเป็นที่รู้จักมากที่สุดเห็นจะหนีไม่พ้นการเลี้ยงลูกในกระเป๋าหน้าท้อง..ในทันทีที่คลอดออกมา ลูกจิงโจ้แรกเกิดมีขนาดเพียง2เซนติเมตร จะคลานเข้ากระเป๋าหน้าท้องแม่อย่างรวดเร็ว จากนั้นจะกินนมอยู่แต่ในกระเป๋าหน้าท้อง เมื่อโตขึ้นระดับหนึ่งจึงค่อยโผล่หน้าออกมาและหัดเริ่มใช้ชีวิตภายนอก แต่ยังคงดูดนมและเข้าไปอยู่ในกระเป๋าหน้าท้องเป็นครั้งคราวจนกระทั่งโตเต็มที่...ภาพแม่จิงโจ้หอบลูกไปด้วยกันทุกที่ทำให้รู้สึกว่ามันเป็น”คุณแม่ผู้ใจดี”...แต่หากลูกมีความผิดปกติ หรืออยู่ในภาวะหน้าสิ่วหน้าขวาน แม่จิงโจ้ก็จะดีดลูกออกจากกระเป๋าหน้าท้องแล้วจากไป..

             

ฟังดูเหมือนแม่จิงโจ้โหดร้าย แต่นั่นคือวิธีเอาตัวรอดในธรรมชาติ เพื่อให้สามารถดำรงเผ่าพันธุ์อยู่ต่อไปได้ พฤติกรรมทิ้งลูกเพื่อเอาตัวรอดนี้ ไม่ได้พบแค่ในแม่จิงโจ้เท่านั้น สัตว์อื่นๆก็ทำกันเป็นเรื่องปกติ.. ที่น่าทึ่งก็คือ...หากประเมินแล้วว่าสภาพแวดล้อมไม่เหมาะต่อการเลี้ยงลูก   แม่จิงโจ้สามารถพักการตั้งครรภ์ชั่วคราวโดยหยุดการเติบโตของตัวอ่อนไว้ก่อนได้...ความสามารถนี้ประกอบกับการที่จิงโจ้จะผสมพันธุ์ทันทีโดยไม่รอให้ลูกโตก่อน ทำให้มันมีลูกได้มากถึง3ตัวในเวลาเดียวกัน โดยลูกตัวแรกจะเป็นตัวที่ออกจากกระเป๋าแล้วแต่ยังกินนมอยู่ ตัวที่สองเป็นลูกอ่อนที่กินนมอยู่ในกระเป๋าหน้าท้อง และตัวสุดท้ายเป็นตัวอ่อนที่พักอยู่ในมดลูก..

           

“เรื่องราวของสัตว์โลกเต็มไปด้วยความน่าพิศวง และไม่อาจอธิบายได้ด้วยสามัญสำนึกของมนุษย์ได้ทั้งหมด แต่เราก็คงเห็นแล้วว่า พวกมันล้วนมีความรู้ ความสามารถ และความแข็งแกร่งในการเอาตัวรอดในธรรมชาติได้เป็นอย่างดี” โดยความเคยชินทั่วๆไป..มนุษย์มักตัดสินคนอื่นจากรูปลักษณ์ภายนอก แต่ก็ใช่ว่าสิ่งที่คิดนั้นจะถูกต้องเสมอไป..บางคนหน้าตาน่ากลัวแต่จริงๆแล้วใจดี ในขณะที่บางคนดูสุภาพเรียบร้อยแต่กลับชอบใช้ความรุนแรง

             

“การด่วนตัดสินคนอื่นจึงอาจทำให้เราเดือดร้อนเข้าสักวันได้”... ยีราฟ..เป็นสัตว์คอยาวๆขายาวๆ  ตาโตๆกับขนตายาวงอน มีอากัปกิริยา ที่ดูสบายๆไม่คิดมาก ทำให้ยีราฟเป็นเหมือนตัวแทนของความสุข แต่จริงๆแล้วแม้แต่ในแอฟริกาที่เต็มไปด้วยสรรพสัตว์ ยีราฟจัดเป็นสัตว์ที่แข็งแกร่งเป็นอันดับ 1-2 เลยทีเดียว เพราะต่อให้ถูกสิงโตจู่โจม ยีราฟก็สามารถเตะสิงโตกระเด็นด้วยความแรงระดับที่ทำให้กะโหลกแตกได้...เรียกได้ว่าหากสิงโตไม่ช่วยกันอย่างน้อยสิบตัวขึ้นไป ก็ไม่มีทางล่ายีราฟมาเป็นอาหารได้เลย..เวลาสู้กันเองยีราฟจะใช้คอเป็นอาวุธ แรงกระแทกนั้นรุนแรงระดับที่ยีราฟตัวที่แพ้บางตัวถึงกับคอหัก... โดยปกติแล้วยีราฟจะกินใบไม้ที่อยู่บนต้นไม้เป็นหลัก แต่บางทีก็ใช้ลิ้นยาวๆของตัวเองตวัดสัตว์เล็กๆอย่างนกเข้าปาก กินเป็นอาหารเสริมด้วยเหมือนกัน...ทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นว่า..

             

“รูปลักษณ์ภายนอกเป็นแค่เศษเสี้ยวเดียวของคนคนหนึ่ง  สิ่งที่สำคัญกว่าจึงเป็นการมองคนให้ทะลุด้วยสายตาที่กว้างไกล” ยีราฟเป็นสัตว์ที่อายุยืน อยู่ได้ถึง 20-25 ปี ...และเป็นสัตว์ป่าร้อยเปอร์เซ็นต์นิสัยของมันจึงไม่เหมาะกับการเป็นสัตว์เลี้ยงสักเท่าไหร่ เพราะมันจะขี้สงสัยและอยากรู้อยากเห็น ขณะที่ก็มีอาการตื่นคนด้วย  “การที่สัตว์หลายๆชนิดไม่ใช่สัตว์เลี้ยง  นั่นจึงมีเหตุผลของมันอยู่ และเราก็ไม่ควรฝืนเอาสัตว์เหล่านี้มาเป็นสัตว์เลี้ยงด้วย”

             

นี่คือหนังสือแห่งคุณค่าต่อการเรียนรู้โลกและสรรพชีวิตที่ถูกแปลออกมาเป็นภาษาไทยโดย”ศุภภัทร พัฒนเดชากุล” อย่างมุ่งมั่นตั้งใจ... สาระเนื้อหาโดยรวมของหนังสือเล่มนี้...เลิศล้ำไปด้วยคุณค่าของ การเรียนรู้ในด้านลึกต่อสัตว์ที่เราเคยคุ้นหรือล้วนแต่รู้จักอย่างผิวเผิน.. ให้ซาบซึ้งและลึกซึ้ง

           

มันคือนิยามแห่งบทบาทของการมีชีวิตและการใช้ชีวิตอยู่รวมกันอย่างศานติสุข  ...แน่นอนว่า..มีอะไรอีกมากมายที่โลกยังไม่รู้และไม่ได้บันทึกไว้... แต่ผู้สร้างสรรค์หนังสือเล่มนี้ทั้งสองท่านได้วาดหวังความอัศจรรย์แห่งความเป็นชีวิตทั้งหมดให้เป็นศาสตร์คิดแห่งวิถีประจักษ์ ให้เป็นความ เข้าใจต่อการอิงแอบแนบชิดระหว่างหัวใจต่อหัวใจที่อยู่ในความฝันและเป็นอัศจรรย์ขึ้นไป... ทุกๆสรรพสัตว์ในโลกนี้ล้วนมีความลับของความลับอยู่ภายในสายทางของจิตวิญญาณแห่งตนเสมอ ..กระทั่งว่าเมื่อมีการสืบค้น และแสวงหารูปรอยแห่ง”ธรรมบท”อันเป็นปึกแผ่นของชีวิตในนามแห่งจักรวาลที่มีลมหายใจแล้วเท่านั้น...เราจึงจักได้เห็น...และสามารถส่องทางแห่งชีวิตด้วย”รับรู้ในรู้สึก “อันยั่งยืนแก่กันและกันได้...ตราบจนนิรันดร์  

            

“ลิงที่เคยเมาเหล้า  จะไม่ยอมแตะต้องเหล้าอีก ซึ่งหมายความว่า มันฉลาดกว่ามนุษย์ส่วนใหญ่เยอะ/แมวไม่มองว่าเจ้าของเป็นสิ่งมีชีวิตที่เหนือกว่า แต่มองว่าเป็นเพื่อนที่คอยเลี้ยงข้าวและเล่นด้วย เป็นแมวตัวเบ้อเริ่มที่เงอะงะงุ่มง่าม แต่ที่มนุษย์เลิกหลงเสน่ห์แมวไม่ได้ ก็เพราะแมวเป็นของแมวเช่นนี้แหละ/ความรักความอ่อนโยนของสุนัขไม่ได้มีให้เฉพาะแต่เจ้าของ แต่ยังเผื่อแผ่ให้กับมนุษย์คนอื่นๆด้วย/ แน่นอนว่า .....บางครั้งชีวิตก็ต้องปลดปลงบ้างเหมือนดั่งเช่น...ตัวสลอธ” และ..ทั้งหมดนี้คือ....!!!