ช่วยกันคิด ช่วยกันทำ / ทหารประชาธิปไตย

           

อาจจะพอเป็นข่าวดีบ้างสำหรับประเทศต่างๆ ที่สงครามยูเครนอันเป็นสาเหตุของการอ้างอิงในการทำให้ราคาพลังงานและราคาอาหารแพงขึ้น ซึ่งในส่วนหลังนี้ก็กำลังมีปัญหาขาดแคลน ลุกลามไปทั่วโลก ด้วยนโยบายแซงซั่นรัสเซียนำโดยสหรัฐฯ

           

ทั้งนี้นายฌองค์ สโตลเทนเบิร์ก เลขาธิการนาโต้ ได้ออกมาแถลงว่า นาโต้มีความเห็นว่าสงครามยูเครนจะยุติลงได้ถ้ายูเครนจะยอมเสียดินแดนบางส่วนให้รัสเซีย แต่เขาก็หลีกเลี่ยงที่จะระบุว่าส่วนไหนบ้าง โดยเพียงแต่กล่าวว่า มันขึ้นกับการตัดสินใจของยูเครน

           

แถลงการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากที่นายเฮนรี คิสซิงเกอร์ อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศของสหรัฐฯ ผู้ทรงอิทธิพลต่อนโยบายต่างประเทศของสหรัฐฯ ได้ออกมาประกาศทำนองนี้หลังการประชุมเศรษฐกิจที่ดาวอส สวิสเซอร์แลนด์

           

อย่างไรก็ตามแม้การรบที่ยูเครนอาจจะยุติได้ในเร็ววัน เพราะยุโรปก็กำลังมีปัญหาเรื่องการขาดแคลนอาหารและพลังงาน ซึ่งถ้าย่างเข้าฤดูหนาวประชาชนในยุโรปก็จะยิ่งทุกข์ยากมากขึ้น เพราะ “ความหนาวและความหิวไม่เคยปราณีใคร”

           

อนึ่งนายฌองค์ สโตลเทนเบิร์ก ก็ยังคงทิ้งท้ายเพื่อรักษาหน้าว่านาโต้จะยังคงให้การสนับสนุนทางทหารแก่ยูเครนต่อไป ไม่ว่ายูเครนจะตัดสินใจอย่างไร

           

กระนั้นก็ตามการแซงซั่นในด้านอื่นๆ เช่น การเงินต่อรัสเซีย คาดว่าคงจะยืดเยื้อและก่อความยุ่งยากต่อการค้าของรัสเซีย อันจะส่งผลต่อการค้าโลก และการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ ซึ่งคงต้องทอดยาวอีกต่อไป เพราะรัสเซียเป็นผู้ส่งออกพลังงานในระดับต้นๆ ของโลกรวมทั้งอาหาร

           

ที่สำคัญสงครามระหว่าง 2 ขั้วอำนาจก็จะยังคงดำเนินต่อไป ตราบใดที่ยังไม่อาจรู้ผลที่ชัดเจน หรือยอมรับที่จะแบ่งอำนาจระหว่างกันและกัน

           

อนึ่งสงครามหรือการสู้รบที่ยูเครนนี้ ทำให้ชาวโลกตื่นตัวและตระหนักว่ามันเป็นสงครามผสมผสาน (HYBRID WAR) ที่มวลมนุษย์ไม่เคยคาดคิดมาก่อน ตั้งแต่การสู้รบทางทหาร ทางเศรษฐกิจ การเมือง สงครามข้อมูลข่าวสาร สงครามจิตวิทยา สงครามไซเบอร์ และแม้แต่มีการเตรียมการครั้งใหญ่ที่จะทำสงครามเคมี-ชีวภาพ

           

มีข้อมูลบางประการที่มีการเผยแพร่ออกมาเมื่อกองกำลังรัสเซียที่เข้าไปปฏิบัติการทางทหารในยูเครนและพบว่ามีห้องปฏิบัติการจำนวนมากในยูเครน ที่สนับสนุนโดยสหรัฐฯและอิสราเอล โดยแม้กระทั่งกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯก็ยอมรับ แต่ยังเบี่ยงเบนประเด็นที่ไม่สอดรับกับเอกสารที่ทางรัสเซียตรวจพบตามห้องแล็ปต่างๆในยูเครน ตามพื้นที่ที่ตนยึดได้ และมีการพิสูจน์ทางนิติวิทยาศาสตร์ต่อห้องปฏิบัติการ และกิจกรรมจากห้องแล็ปที่ทิ้งร่องรอยเอาไว้

           

จากข้อมูลของฝ่ายรัสเซีย ห้องปฏิบัติการเหล่านั้น ดำเนินการโดยองค์การของรัฐยูเครนร่วมมือกับบริษัทยาขนาดใหญ่ ระหว่างประเทศที่มีนายฮันเตอร์ ไบเดน เป็นผู้ประสานงาน (แหล่งข่าวจากสหรัฐฯที่ได้จากบันทึกในเครื่องคอมของนายฮันเตอร์ที่รั่วไหลออกไป)

           

ทั้งนี้ห้องปฏิบัติการเหล่านี้มีทั้งการวิจัยด้านชีวภาพ ด้านเคมี และด้านกัมมันตภาพรังสี โดยการเข้าตรวจค้นตั้งแต่วันที่ 11 พ.ค. 2022 ด้วยหน่วยทหารของรัสเซียที่มีชุดป้องกันกัมมันตภาพรังสี และเคมี-ชีวภาพ นำโดยนาย Igor Kirillov

       

จากรายงานพบว่าสหรัฐฯ พยายามทำลายหลักฐานต่างๆ แต่เนื่องจากเวลาอันรีบเร่งในการถอนตัว จึงทำให้ยังเหลือร่องรอยให้ตรวจสอบได้ทางนิติวิทยาศาสตร์ โดยรายงานดังกล่าวระบุว่าได้มีการพัฒนาเชื้อโรคอหิวาห์ กาฬโรค แอนแทรก ทูราเรเมีย และไวรัส HANTA

       

ทั้งนี้ในเดือนธันวาคม 2021 ก่อนมีการปฏิบัติการทางทหารของรัสเซีย (24 ก.พ.2022) ยูเครนได้ส่งคำขอไปยังโรงงานเภสัชกรรมในสหรัฐฯ ถึงความเป็นไปได้ที่จะบรรจุเชื้อโรคเหล่านี้ลงใน Bayraktar โดรน ที่มีเครื่องพ่นสเปรย์

           

อนึ่งรัสเซียได้ส่งรายงานดังกล่าวไปยังกรรมาธิการของพรรคเดโมแครต เกี่ยวกับการใช้อาวุธเคมี-ชีวภาพ โดยแจ้งข้อมูลเกี่ยวกับแหล่งทุน ที่ตั้งเมื่อสมัยคลินตัน ทุนจากรอค เฟลเลอร์ (ไซออนิสต์) และยอร์ชโซรอส (ไซออนิสต์) แต่ผลปรากฏว่าองค์การดังกล่าวได้รับเงินทุนเพิ่มขึ้น แถมได้เงินสนับสนุนการเลือกตั้งเพิ่มขึ้น

           

สำหรับบริษัทยาที่เกี่ยวข้องกับห้องปฏิบัติการเหล่านี้ จากรายงานของ Igor Kirillov ล้วนแต่เป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ระดับโลก เช่น ไฟเซอร์ โมเดอนา เมิร์ค พาเรกเซล และ Gilead บริษัทที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ

           

ด้านยูเครนรัฐบาลได้สนับสนุนการจัดโครงสร้างที่ไม่เปิดเผยและผิดกฎหมาย สำหรับกิจกรรมทางทหารด้านเคมี-ชีวภาพ

           

เอกสารหลักฐานบางส่วนยังพาดพิงไปถึงความเกี่ยวพันและความร่วมมือกับประเทศโปแลนด์ และเยอรมัน ที่ทำการวิจัยเชื้อโรคอันตรายหลายชนิดในยูเครน

           

ตัวอย่างเช่น สถาบันทหารผ่านศึกด้านยาของมหาวิทยาลัยวอร์ซอ ด้านวิทยาศสตร์ธรรมชาติของโปแลนด์ มีการศึกษาถึงการแพร่ระบาดของเชื้อโรคที่พัฒนาเหล่านี้ และภัยคุกคามตลอดรวมไปถึงโรคพิษสุนัขบ้า ที่จะแพร่กระจายในสัตว์ป่าในภูมิภาคแถบนั้น โดยมีการทำวิจัยร่วมกับสถาบันอเมริกันที่เป็นผู้รับเหมาโครงการของเพนตากอน

           

โครงการเหล่านี้นอกจากจะเป็นอันตรายในพื้นที่แล้วยังเป็นภัยคุกคามต่อเพื่อนบ้านอย่างรัสเซียอีกด้วย

           

สงครามเคมี-ชีวภาพนั้น สามารถย้อนหลังไปถึงยุคกลาง ที่มีการเก็บซากศพจากสงครามเอาไว้ให้เป็นเชื้อโรคทำลายข้าศึกที่บุกเข้ามาโจมตี หรือการใช้เครื่องดีดซากศพเข้าไปในเมืองเพื่อให้เกิดโรคระบาด เช่นเดียวกับการใส่ยาพิษในน้ำที่ใช้บริโภค หรือการทำลายพืชผักด้วยโรคระบาดที่มาจากสัตว์ที่มีการเพาะเลี้ยงไว้ เช่น หนู กระต่าย เป็นต้น ทำให้เกิดโรคระบาดสู่สัตว์ต่างๆในเวลาเดียวกัน

           

ช่วงปีค.ศ.1970 สหรัฐฯได้แพร่โรคระบาดหวัดหมูเข้าไปในคิวบา เพื่อทำลายเศรษฐกิจของคัสโตร ซึ่งต้องถือว่าไม่อาจยอมรับได้โดยมาตรฐานของจริยธรรมและมนุษยธรรม

           

ในปี 2001 ได้มีผู้เชี่ยวชาญของสหประชาชาติ นำเสนอวิธีการที่จะใช้ในการควบคุมการพัฒนาอาวุธเคมี-ชีวภาพ แต่ความริเริ่มนี้ถูกระงับในระดับ คณะมนตรีความมั่นคง

           

โดยข้อมูลที่เปิดเผยในช่วงปีนั้น สหรัฐฯใช้งบประมาณ 360 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในการวิจัยเพื่อสร้างอาวุธทำลายล้างที่มีอำนาจมหาศาล (MDW)

สำหรับประเทศไทย ห้องปฏิบัติการทางทหารของสหรัฐฯ AFRIMS ได้เข้ามาดำเนินงานโดยการปิดลับและเป็นสิ่งที่น่ากังวลอย่างมาก ว่าอะไรจะเกิดขึ้นหากมีการแพร่กระจายสารพิษหรือเชื้อโรคออกไปจากห้องแล็ปเหล่านั้น ซึ่งอาจจะพบว่าโรคโควิด-19 กลายเป็นแค่ไข้หวัดเล็กน้อยไปทีเดียว

           

เรื่องเหล่านี้รัฐบาลไทยต้องรับผิดชอบทั้งในอดีตจนปัจจุบัน และควรจะเปิดเผยให้คนไทยได้รับรู้ เพราะคนไทยคือผู้ที่จะต้องรับความเสี่ยงของมหันตภัยเหล่านั้น