คณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านสาธารณสุข กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงแรงงาน กระทรวงการคลัง กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และกรุงเทพมหานคร ร่วมจัด งานการประชุมรับฟังความคิดเห็นข้อเสนอเชิงนโยบาย เพื่อการปฏิรูประบบบริการปฐมภูมิในกรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 8-9 มิถุนายน 2565 และร่วมจัดงานแถลงข่าว “ความร่วมมือการขับเคลื่อนแนวทางการปฏิรูประบบบริการปฐมภูมิในพื้นที่กรุงเทพมหานคร เพื่อรองรับสถานการณ์การระบาดโรคติดเชื้อระดับชาติและโรคอุบัติใหม่”
โดย ผศ.ดร.ทวิดา กมลเวชช รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวถึง นโยบายการขับเคลื่อนระบบบริการปฐมภูมิในพื้นที่กรุงเทพมหานครว่า ตามที่กรุงเทพมหานครร่วมกับคณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านสาธารณสุข และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดประชุมรับฟังความคิดเห็นข้อเสนอเชิงนโยบายและแนวทางการปฏิรูประบบบริการปฐมภูมิในกรุงเทพมหานคร เพื่อรองรับสถานการณ์การระบาดเชื้อโรคระดับชาติและโรคอุบัติใหม่ ส่งผลให้เกิดการขับเคลื่อนอย่างเป็นรูปธรรม และนำไปสู่การยกระดับการเข้าถึงบริการสุขภาพที่มีความจำเป็นและการพัฒนาคุณภาพการรักษาพยาบาลให้ประชาชนมีความปลอดภัยและความมั่นคงด้านสุขภาพอย่างยั่งยืน โดยยึดการบริการประชาชนเป็นศูนย์กลาง
โดยร่วมขับเคลื่อนโครงการปฏิรูประบบบริการปฐมภูมิในพื้นที่กรุงเทพมหนคร 5 ด้าน ได้แก่ 1.เพิ่มจำนวนหน่วยบริการปฐมภูมิในพื้นที่กทม.ให้ครอบคลุมกลุ่มประชากร 2.ระบบการเงินการคลังสุขภาพกระจายและครอบคลุม 3.เพิ่มการเข้าถึงโรงพยาบาลขนาดทุติยภูมิ 4.การสนับสนุนภาคประชาชนในการจัดการสุขภาพ เพิ่ม อสส. ในชุมชน และพัฒนา อสส. รูปแบบใหม่ที่ตอบสนองวิถีชีวิตคนกรุงเทพมหานคร และ5.การอภิบาลระบบสุขภาพในกรุงเทพมหานคร หวังยกระดับและพัฒนาคุณภาพการรักษาพยาบาลให้ประชาชนมีความปลอดภัย และความมั่นคงด้านสุขภาพอย่างยั่งยืน
ผศ.ดร.ทวิดา กล่าวอีกว่า โควิด-19 ได้ทำร้ายทั้งคนที่เจ็บป่วย เสียชีวิตและทำร้ายจิตใจของพวกเราในฐานะคนดูแลเมือง รวมถึงบุคลากรในวงการสาธารณสุขด้วย ดังนั้นผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์) จึงมีความมุ่งมั่นที่จะทำให้ความต้องการของประชาชนที่สะท้อนจากสถานการณ์ที่ผ่านมา และข้อจำกัดซึ่งข้าราชการทั้งหลายทราบดีว่าปัญหาเหล่านี้คืออะไร ต้องได้รับการแก้ไข
ทั้งนี้ข้อจำกัดของกรุงเทพมหานครในเรื่องของการดูแลและบริการประชาชน คือการที่ไม่สามารถเชื่อมต่อระบบสาธารณสุขได้อย่างราบรื่นนัก ยังผลให้เกิดความเสียหายต่อภาคประชาชน รวมถึงผลกระทบในเรื่องของเศรษฐกิจและความเป็นอยู่ของประชาชนด้วย ในฐานะผู้ปฏิบัติซึ่งมีพันธกิจสำคัญคือการดูแลสุขภาพประชาชนตั้งแต่ต้นทาง จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคที่ผ่านมาทำให้ต้องกลับมาพิจารณาอีกครั้งว่าข้อจำกัดของตนเองอยู่ที่ไหน อัตรากำลัง มาตรฐานการรักษาพยาบาลเป็นอย่างไร รวมถึงต้องกลับมาพัฒนามาตรฐานของเราเพื่อให้ประชาชนเชื่อมั่นว่าพวกเราเป็นหน่วยปฏิบัติที่อยู่ใกล้บ้าน ใกล้ตัวและใกล้ใจประชาชนมากที่สุด นอกจากนี้ การดูแลสุขภาพที่ดีตั้งแต่ต้นไม่ใช่เฉพาะการให้ประชาชนได้รู้จักดูแลตนเองเท่านั้นแต่ยังหมายรวมถึงการพัฒนาให้อาสาสมัครสาธารณสุข (อสส.) ได้ดูแลประชาชนอย่างใกล้ชิด เพื่อให้ประชาชนได้อุ่นใจว่ายังมีคนอยู่เคียงข้างในยามเจ็บป่วย หรือคอยให้คำปรึกษา
“คำมั่นจากโรงพยาบาลเครือข่ายพยาบาลว่าจะช่วยกันอุดช่องว่างของระบบส่งต่อ เพื่อทำให้ประชาชนได้มีชีวิตที่ดีขึ้น ไม่ว่าจะด้วยการนำของกรุงเทพมหานคร หรือเครือข่ายสาธารณสุขเอง ถือว่าเป็น “ความร่วมมือ” หลายครั้งที่เรามีการถอดบทเรียนแต่ไม่ได้นำมาทำ ครั้งนี้บทเรียนที่เราถอดว่าช่องว่างหรือข้อบกพร่องเราอยู่ตรงไหน แล้วเรายอมรับ และนำมาทำ ช่วยเหลือกันโดยเอาประชาชนเป็นที่ตั้ง จะทำให้ประชาชนมีสุขภาพดี มีความสุข และการที่ประชาชนมีความสุข การพัฒนาประเทศก็จะเกิดความยั่งยืน ไม่ว่าจะเกิดปัญหาอะไรในอนาคตอีก การเรียนรู้ถึงความร่วมมือที่จะเอาชนะข้อจำกัดและไม่โทษกันเอง รับผิดชอบร่วมกัน จะสามารถให้เครือข่ายสุขภาพปฐมภูมิครบวงจรของคนกรุงเทพมหานครเกิดขึ้นได้” รองผู้ว่าฯกทม.กล่าวในตอนท้าย
อย่างไรก็ตามที่ประชุมได้สรุปข้อเสนอเชิงนโยบายเพื่อการปฏิรูประบบบริการปฐมภูมิในกรุงเทพมหานคร 7 ข้อ ประกอบด้วย 1.ผู้ว่าฯกทม.จัดตั้ง System Manager ด้านปฐมภูมิระดับเขต กลุ่มเขต และระดับกรุงเทพมหานคร อย่างมีส่วนร่วมจากภาครัฐ ภาคประชาชน และภาคเอกชน 2.คณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ สำนักงานประกันสังคม กรมบัญชีกลาง ร่วมสนับสนุนงบประมาณ ออกแบบ ระบบการเงินที่ส่งเสริมศักยภาพของระบบบริการสุขภาพปฐมภูมิ โดยมุ่งเน้นบริการ Health Promotion Prevention และเสนอรูปแบบการจ่ายเงิน เพื่อให้บริการอย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพ
3.ผู้ว่าฯกทม.ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนในทุกเครือข่ายของการบริการปฐมภูมิและสนับสนุนงบประมาณจากกองทุนหลักประกันสุขภาพกรุงเทพมหานคร 4.กรุงเทพมหานคร กระทรวงสาธารณสุขและกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมพัฒนาระบบข้อมูลสุขภาพ Electronic Health Information และส่งเสริมการเชื่อมโยงแลกเปลี่ยนข้อมูลเพื่อนำมาสู่การพัฒนาบริการและส่งเสริมการดูแลตัวเองของประชาชน 5.สำนักอนามัยพัฒนาระบบอาสาสมัครสาธารณสุข ให้เกิดการมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง และยั่งยืน โดยอาศัยทรัพยากรจากกระทรวงสาธารณสุข 6.กรุงเทพมหานครได้ดำเนินการSand Box ของระบบบริการปฐมภูมิภายใน 3 เดือนและขยายผลให้ครอบคลุมภายในระยะเวลา 1 ปี โดยมีรูปแบบที่คำนึงถึงบริบทเฉพาะของแต่ละพื้นที่ และ 7.สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข ร่วมกับกรุงเทพมหานคร จัดตั้งกลไกความร่วมมือทางวิชาการเพื่อสนับสนุนกลไกการดำเนินงานตามแนวทางปฏิรูป อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เกิดการขับเคลื่อนแผนการปฏิรูปนี้อย่างเป็นรูปธรรม