ลีลาชีวิต / ทวี สุรฤทธิกุล สังคมที่ยังก้าวหน้าไปได้เพราะยังมีปัญหาอีกเยอะ คือยังมีสิ่งที่ต้องทำอีกมาก ธิดาวดีเติบโตมาท่ามกลางสังคมครอบครัวที่มีปัญหาอยู่บ้าง แต่ไม่ใช่จากครอบครัวของเธอเอง เพราะพ่อแม่ค่อนข้างจะเลี้ยงดูลูก ๆ ทั้ง 3 คนได้ดี แม้จะมีความลำเอียงกับเธอบ้าง เพราะไม่ได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมกับพี่ชายและน้องชาย แต่ก็ถือว่าพ่อแม่ก็ให้การศึกษาแก่ลูก ๆ อย่างเต็มที่ รวมถึงที่ให้เสรีภาพในการใช้ชีวิต ไม่บีบคั้นนัก แต่ที่สร้างปัญหาให้กับตัวเธอมาก ๆ ก็คือ “ญาติ ๆ” โดยเฉพาะญาติข้างพ่อ ลุงอัตถกร หรือที่ธิดาวดีกับพี่ชายและน้องชายเรียกว่า “ลุงอัด” คือผู้สร้างปัญหาให้กับครอบครัวของเธอมากที่สุด ลุงอัดเป็นพี่ชายคนโตของพ่อ ทำงานเป็นพนักงานรัฐวิสาหกิจ ถือว่ามีฐานะพอใช้ได้ แต่ด้วยความที่เป็นคนสำมะเลเทเมา ทำให้ชีวิตครอบครัวมีปัญหา ภรรยาแยกทางพร้อมกับเอาลูกสาวไปด้วย ลุงอัดสร้างหนี้สินไว้มากเพราะชอบเล่นการพนันและใช้จ่ายฟุ่มเฟือย เคยเอารถของน้องชายคือพ่อของธิดาวดีที่มาขอยืมไปขับเอาไปจำนำ ช่วงหนึ่งเคยมาขอพักที่บ้านของน้องชายบ่อย ๆ จนมาทราบภายหลังว่าบ้านที่มีอยู่ถูกธนาคารยึด ที่สุดจึงมาอยู่ที่บ้านของธิดาวดีนั้นเป็นประจำ ตอนนั้นธิดาวดีกำลังเป็นวัยรุ่น เธอรู้สึกไม่พอใจกับการที่ลุงอัดเข้ามาอาศัยอยู่ในบ้านเป็นอย่างมาก ยิ่งแม่ของเธอด้วยแล้วยิ่งเป็นเดือดเอามาก ๆ จนทะเลาะกับพ่ออยู่ทุกวัน โดยให้อาศัยอยู่ในเรือนเล็กที่แต่ก่อนใช้เป็นที่อยู่ของคุณย่าซึ่งป่วยติดเตียง แต่คุณย่าก็ได้เสียชีวิตไปก่อนหน้านั้นแล้ว วันหนึ่งแม่โทรศัพท์เรียกตำรวจมาที่บ้าน บอกว่ามีขโมยขึ้นบ้าน ซึ่งก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นลุงอัดขี้เมานั่นเอง ตอนแรกลุงอัดก็ไม่สารภาพ แต่จากระบบวงจรปิดได้บันทึกคนเข้าออกในบ้านไว้โดยตลอด ทำให้เห็นภาพที่ลุงอัดแอบย่องขึ้นไปบนห้องนอน แล้วรื้อค้นหาของมีค่า ได้ของมีค่าไปหลายอย่าง ลุงอัดรับสารภาพว่าต้องการเอาเงินไปใช้หนี้การพนัน แต่ตำรวจสงสัยว่าจะติดยาเสพติดด้วย จึงเอาปัสสาวะไปตรวจ ก็พบว่ามีสารเสพติดซึ่งก็คือยาบ้า ตำรวจขยายผลตรวจค้นที่เรือนเล็กก้พบยาบ้าซุกซ่อนอยู่จำนวนหนึ่ง แม้จะไม่มากแต่ก็พอที่จะเอาโทษลุงอัดให้ติดคุกได้เป็นหลายปี พ่อต้องเสียเงินวิ่งเต้น “เป่าคดี” มากโขอยู่ แล้วให้ลุงอัดออกไปจากบ้านทันทีที่ปิดคดีเรียบร้อย โดยธิดาวดีเป็นคนยื่นคำขาดว่า ให้พ่อเลือกเอาว่าจะให้ลุงอัดหรือเธอออกจากบ้าน ซึ่งก็แน่นนอนว่าพ่อต้องเลือกเธอ ส่วนลุงอัดจะเป็นตายร้ายดีอย่างไรหลังออกจากบ้านแล้วนั้น เธอไม่ทราบข่าวแน่ชัด ทราบแต่ว่าทางหน่วยงานไล่ลุงอัดออกจากงาน ข่าวหนึ่งก็ว่าลุงอัดต้องระเหเร่ร่อนไปอยู่กับเพื่อนคนโน้นคนนี้ อีกข่าวก็ว่ากลับไปค้ายาอีกแล้วติดคุก จนกระทั่งตายในคุกเมื่อหลายปีก่อน ธิดาวดีเป็นคนเคร่งครัดวินัยเป็นอย่างมากในทุกเรื่อง ข้าวของเครื่องใช้และเสื้อผ้าของเธอนั้นจะต้องจัดวางไว้อย่างเป็นระเบียบ หากใครมาแตะต้องเคลื่อนย้ายเธอก็จะรู้ในทันที กิจกรรมในชีวิตในแต่ละวันต้องตรงเวลาเป๊ะ ๆ หรือถ้าจะเร็วช้าคลาดเคลื่อนก็ต้องมีเหตุสุดวิสัยจริง ๆ อย่างเช่น ตอนที่เธอเรียนชั้นมัธยม นอกจากเธอจะต้องดูแลบ้านให้สะอาดเรียบร้อยแล้ว เธอยังต้องช่วยแม่ทำอาหารในบางวัน หากพ่อรวมถึงพี่ชายและน้องชายลงมากินข้าวไม่ตรงเวลา พอกินเสร็จแล้วก็จะต้องล้างถ้วยชามกันเอง แต่ถ้าตรงเวลาเธอก็จะทำหน้าที่ในการทำความสะอาดถ้วยชามนั้นให้ตามปกติ สมัยที่เธอเด็ก ๆ ก็ยังมีแม่บ้านที่จ้างมาอยู่ประจำนั้นคอยช่วย แต่ภายหลังแม่บ้านและแม่ครัวหายาก ทำให้พ่อแม่ต้องตัดรำคาญด้วยการที่แม่อาสาดูแลบ้านและทำกับข้าวเอง โดยมีเธอที่เป็นลูกสาวเพียงคนเดียวคอยช่วย ซึ่งเธอก็ได้ถือโอกาสในความรับผิดชอบนี้ตั้งกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ขึ้นในบ้าน โดยขอให้แม่ช่วยสนับสนุน ซึ่งก็ได้รับการสนับสนุนอย่างแข็งขัน เพราะด้วยระบบที่เธอได้วางไว้ทำให้บ้านดูเรียบร้อยดีมาก แม้ว่าฝ่ายผู้ชายอีก 3 คนในบ้านจะไม่ค่อยสบอารมณ์นัก ธิดาวดีได้ใช้โอกาสที่เธอช่วยแม่ดูแลความเรียบร้อยในบ้านนั้น “จัดการ” กับนิสัยเสีย ๆ ของพี่ชายกับน้องชายนั้นได้เป็นอย่างดีอีกด้วย พี่ชายของเธอนั้นชอบเอาเปรียบเธอมาโดยตลอด และมักจะใช้ความเป็นผู้ชายและตัวที่โตกว่ารังแกเธอมาตั้งแต่เด็ก ๆ ส่วนน้องชายก็เอาแต่ใจ ชอบแย่งของเล่นและของกิน และคอยฟ้องพ่อกับแม่อยู่บ่อยๆเวลาที่เธอไม่ตามใจ ดังนั้นเมื่อเธอ “มีอำนาจเต็ม” โดยอาศัยการอ้างถึงสิทธิหน้าที่ที่แม่มอบให้ เธอก็วางกฎระเบียบเอากับพี่ชายและน้องชายอย่าละเอียดยิบ ตั้งแต่การใช้คำพูดและกิริยาท่าทาง จนแม้แต่กระทั่งการให้เกียรติยกย่องเธอ ที่เธอก็ฉลาดพอที่จะให้พี่กับน้องชายต้องเชื่อฟัง เพื่อที่จะไม่ต้องถูกลงโทษจากพ่อและแม่ เพราะในตอนนั้นเธอได้เป็นผู้รับผิดชอบทุกงานบริการและการดูแลในบ้าน ซึ่งเธอก็ทำได้ดีจนพ่อแม่เกรงใจและยอมตามทุกอย่างที่เธอร้องขอหรือวางกฎเกณฑ์ทั้งหลายนั้น ผลจากความเฮี้ยบของเธอส่งผลทางอ้อมกับการดัดนิสัยของพี่ชายและน้องชาย รวมถึงที่มีผลต่อการเรียนและการวางอนาคตให้กับทั้งสองคนนั้นอีกด้วย โดยที่พ่อแม่ไม่ต้องออกแรงมากนัก ซึ่งเธอก็ภูมิใจในผลงานดังกล่าวนี้ และถือว่าเป็นผลงานชิ้นสำคัญชิ้นแรกในชีวิต เพราะต่อมาแม้ว่าทั้งน้องชายและพี่ชายจะค่อนข้างลุ่ม ๆ ดอน ๆ ในการเรียนและการทำงาน แต่ก็มีเธอนี่แหละที่ช่วยตะล่อมประคับประคองไว้ ด้วยการปลุกและปลอบในฐานะคนที่มีวัยไล่เลี่ยกัน ในขณะที่พ่อแม่ชอบที่จะใช้คำพูดที่แรง ๆ ทำให้ทั้งพี่ชายและน้องชายไม่ค่อยกล้าสู้หน้า ทำให้เวลาที่พี่ชายและน้องชายมีปัญหาอะไรนั้น มักจะหลบหน้าหรือไม่ยอมบอกอะไรกับพ่อแม่ ในขณะที่เธอจะใช้น้ำเย็นเข้าลูบและพยายามจับความรู้สึกของพี่ชายและน้องชาย ที่สุดเมื่อรู้อารมณ์อย่างชัดเจนแล้วก็ค่อยผ่อนคลายให้คนทั้งสองเล่าปัญหาต่าง ๆ ให้ฟัง รวมถึงที่เธอรับหน้าที่ที่จะเป็นหนังหน้าไฟรับอารมณ์ของพ่อแม่ให้กับคนทั้งสองนั้นด้วย อีกสิ่งหนึ่งที่ธิดาวดีได้ทำและเธอภาคภูมิใจมาก ๆ อีกเช่นกัน ก็คือ การช่วยทำให้พ่อกับแม่ “ทนอยู่” ด้วยกันให้ได้เป็นอย่างดี เพราะพ่อแม่ของเธอก็เหมือนกับคู่แต่งงานอื่น ๆ ที่มักจะมีเรื่องระหองระแหงกันอยู่บ่อย ๆ โดยบางครั้งก็ถึงขั้นแตกหัก แม่หอบผ้าผ่อนไปอยู่กับคุณยายที่ต่างจังหวัด หรือหลายครั้งพ่อก็ออกจากบ้านไปอยู่ “ที่อื่น” ครั้งละหลาย ๆ วัน ตอนนั้นธิดาวดีอยู่ในมหาวิทยาลัยแล้ว พอรู้ว่าพ่อแอบนอกใจแม่ ธิดาวดีก็พยายามอยู่ใกล้ชิดกับแม่ ในขณะเดียวกันก็พยายามสื่อสารกับพ่อว่าแม่ยังรักพ่อมากและพร้อมที่จะให้อภัยพ่อเสมอ ซึ่งการสร้าง “สานสัมพันธ์” แบบนี้เธอไม่ได้เรียนจากตำราเล่มไหน เพียงแต่รู้สึกด้วยตัวเธอเองว่าไม่อยากให้พ่อแม่แยกกัน เธอต้องออกไปตามหาพ่อแล้วให้พ่อกลับมาง้อแม่ เธอเอาความรู้สึกของเธอบอกกับพ่อว่า ผู้หญิงนั้นที่สุดก็แพ้การงอนง้อเอาใจ ซึ่งก็คือการแสดงความเอื้ออาทร อันเป็นเนื้อแท้ของชีวิตคู่ คือการแคร์หรือเอาใจใส่ดูแลกันและกันนั่นเอง ประสบการณ์ในบ้านของเธอได้ถูกนำมาใช้กับครอบครัวของเธอเองในเวลาต่อมา และเธอก็คิดว่าสิ่งนี้น่าจะใช้ได้กับทุก ๆ คนในสังคมได้เช่นเดียวกัน