แม้ภาพรวมภาคการท่องเที่ยวไทยในครึ่งหลังของปี 2565 แนวโน้มของปัจจัยเสี่ยงอาจอยู่ที่จำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ราคาน้ำมัน ซึ่งกระทบต่อกลุ่มนักท่องเที่ยวที่เดินทางด้วยรถยนต์ ด้วยเหตุผลดังกล่าวทางการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) นอกจากจะพึ่งนักท่องเที่ยวในประเทศแล้ว ยังพยายามดึงนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาในประเทศ โดยเฉพาะตลาดระยะใกล้จากประเทศอินเดีย กลุ่มประเทศตะวันออกกลาง ส่วนประเทศจีน อาจจะต้องรอทางรัฐบาลจีนผ่อนคลายมาตรการควบคุมโรค ซึ่งอาจเป็นช่วงปลายปีนี้ และน่าจะเห็นการฟื้นตัวของตลาดดังกล่าวในช่วงตรุษจีนปี 2566 นักท่องเที่ยวกลับมาคึกคักช่วงปลายปี โดย นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กล่าวว่า ขณะที่นักท่องเที่ยวจากกลุ่มตลาดระยะไกล อาจยังไม่เดินทางเข้าประเทศไทยมากนัก แต่คาดว่านักท่องเที่ยวจะกลับมาคึกคักในช่วงปลายปีนี้ ซึ่งตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2565 ถึงปัจจุบันมีนักท่องเที่ยวประมาณ 1 ล้านคน ซึ่งตั้งเป้าไว้ว่าหลังจากนี้ จนถึงเดือนกันยายนจะต้องมีนักท่องเที่ยวจะเดินทางเข้ามาเดือนละ 5 แสนคน เมื่อรวมกับช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีน่าจะได้นักท่องเที่ยวเข้ามาเดือนละ 1 ล้านคน มีจำนวนนักท่องเที่ยวทั้งปี 7-10 ล้านคนตามเป้าหมายเดิมที่เคยคาดการณ์ไว้ ขณะที่ในภาคของธุรกิจโรงแรมนั้นน่าจะมีอัตราการเข้าพักอยู่ที่ราว 50% เนื่องจากตัวเลขดังกล่าวจะทำให้ผู้ประกอบการสามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้ โดยเกิดการจ้างงาน การจับจ่ายในภาคธุรกิจดังกล่าวขึ้น รวมไปถึงจำนวนที่นั่งของสายการบิน่าจะกลับมาที่ 50% ของช่วงเวลาก่อนโควิด-19 และมีอัตราบรรทุกผู้โดยสาร หรือ โหลดแฟกเตอร์อยู่ที่ 70% ของจำนวนที่นั่ง จัดแคมเปญกระตุ้นเดินทางในประเทศ ด้าน นางสาวฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ รองผู้ว่าการด้านตลาดในประเทศ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กล่าวว่า ตลาดนักท่องเที่ยวภายในประเทศยังเป็นหลักสำคัญในการขับเคลื่อนภาคการท่องเที่ยว และการเปิดประเทศ ที่จะส่งผลให้นักเดินทางออกท่องเที่ยวมากขึ้น ซึ่งจากภาพรวมที่ผ่านมาช่วงวันหยุดยาว หรือวันหยุดนักขัตฤกษ์มีจำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น โดยไตรมาสแรกของปีนี้ มีเที่ยวบินในประเทศประมาณ 87,300 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้น 26.8% อัตราการเข้าพักของโรงแรมอยู่ที่ 57.6% โดยมีนักท่องเที่ยวชาวไทยอออกเดินทาง 47,404,611 ล้านคน-ครั้ง เพิ่มขึ้น 77.84% ซึ่ง นางสาวฐาปนีย์ ยังกล่าวต่อว่า จำนวนการออกเดินทางของชาวไทยดังกล่าวยังห่างจากเป้าที่ตั้งไว้ ด้วยเหตุจากการระบาดของเชื้อไวรัสโควิดสายพันธุ์โอไมครอนในช่วงต้นปี แต่เชื่อว่าภาคการท่องเที่ยวในประเทศยังมีสัญญาณบวก และมีการเดินทางการท่องเที่ยวในประเทศอย่างต่อเนื่อง ก็น่าจะทำให้มีจำนวนนักท่องเที่ยวชาวไทยทั้งปีเป็นไปตามเป้าที่วางไว้ที่ 160 ล้านคน-ครั้ง อย่างไรก็ตาม ททท. ได้ตั้งเป้ารายได้ที่เกิดจากนักท่องเที่ยวชาวไทยประมาณ 6.56 แสนล้านบาท มียอดใช้จ่ายเฉลี่ยต่อทริปอยู่ที่ 4,100 บาท มีอัตราการเข้าพักอยู่ที่ 50% โดยมีการสนับสนุนจากททท. ในการจัดกิจกรรม รวมถึงแคมเปญต่าง ๆ เพื่อกระตุ้นการออกเดินทางของนักท่องเที่ยวชาวไทย ผ่านทั้งสื่อต่าง ๆ รวมถึงอินฟลูเอ็นเซอร์ เป็นต้น ตลาดใกล้พุ่งเป้าตลาดหลักเดินทางทั้งปี ด้าน นายธเนศวร์ เพชรสุวรรณ รองผู้ว่าการด้านตลาดเอเชียและแปซิฟิกใต้ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กล่าวถึงแผนการกระตุ้นของตลาดระยะใกล้ ว่า ทางททท. จะแบ่งเการทำงานออกเป็น 3 ข้อหลักคือ 1. Quick Win โดยมุ่งเป้าฟื้นคืนตลาดหลัก กระตุ้น Revisit ขยายฐาน First Visit และส่งเสริมการเดินทางแบบตลอดทั้งปี เนื่องจากในปัจจุบันนักท่องเที่ยวตลาดระยะไกลจะมาเป็นซีซั่นเท่านั้น ดังนั้นการเจาะกลุ่มตลาดระยะใกล้ ด้วยการส่งเสริมให้เกิดการเดินทางตลอดทั้งปี โดยเฉพาะประเทศสิงคโปร์ มาเลเซีย อินโดนีเซีย และอินเดีย จึงน่าจะสามารถสร้างรายได้เพิ่มขึ้น ส่วนข้อ 2. Quality จะเป็นการเพิ่มจำนวน รวมทั้งกระตุ้นการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวกลุ่มที่มีความสนใจเป็นพิเศษ ทั้งด้าน Health & Wellness, Wedding and Honeymoon, Sport Tourism และ Luxury สำหรับข้อ 3 คือ 5 NEWs โดย ททท.จะพลิกโฉม เปลี่ยนมุมมอง สร้างภาพจำด้านการท่องเที่ยวใหม่ โดยจำแนกย่อยออกเป็น 1. New Segment คือ นักท่องเที่ยวกลุ่มศักยภาพใหม่ ๆ เช่น นักท่องเที่ยวด้านการศึกษาจากประเทศจีน กลุ่ม Boy Lovers จากประเทศเวียดนาม และจีน รวมถึงกลุ่มผู้บริหารระดับสูงจากประเทศสิงคโปร์ 2. New Area จะเป็นกลุ่มท่องเที่ยวคุณภาพ ในพื้นที่ศักยภาพใหม่ ๆ ซึ่งททท.ตั้งเป้าจับกลุ่มเป้าหมายนักท่องเที่ยวจากตลาดเป้าหมายทั้งภาคตะวันออกเฉียงเหนือของอินเดีย, มองโกเลีย, เกาหลี (ปูซาน), มาเลเซีย (ซาบาร์ และยะโฮร์), ออสเตรเลีย (บริสเบน และนครแอดิแลด) รวมทั้งพื้นที่ศักยภาพในตลาดเดิม ด้าน 3.New Partner จะเป็น พันธมิตรใหม่ เช่น สายการบิน, องค์กรต่าง ๆ, กลุ่ม Incentive โดยมีตลาดเป้าหมายคือ ประเทศมาเลเซีย มองโกเลีย ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ไต้หวัน และฮ่องกง 4. โครงสร้างขั้นพื้นฐานใหม่ ๆ เช่น สถานีกลางบางซื่อ, ท่าอากาศยานเบตง, เส้นทางมอเตอร์เวย์โคราช (M6) ฯลฯ และ 5. New Way คือ กลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อมจากตลาดเป้าหมายอย่างอินเดีย ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น ฮ่องกง และไต้หวัน เป็นต้น ทั้งนี้ นายธเนศวร์ กล่าวว่า เวลานี้ จำนวนนักท่องเที่ยวจากประเทศอินเดีย มาเลเซีย สิงคโปร์ และออสเตรเลีย มีจำนวนเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เนื่องจากประเทศเหล่านี้ผ่อนคลายมาตรการการเดินทางมากขึ้น จึงทำให้การเดินทางเข้า-ออกสะดวก รวมถึงมีเที่ยวบินพาณิชย์เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งยังพบว่า นักท่องเที่ยวจากประเทศกัมพูชา เวียดนาม และเกาหลีใต้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ โดยช่วงเดือนมกราคมถึงเมษายน แต่ละประเทศมีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าประเทศไทยประมาณ 2,500 คนต่อเดือน แต่เมื่อช่วงเดือนพฤษภาคม มีนักท่องเที่ยวพุ่งสูงถึงราว 9,000 คน จึงถือเป็น Rising Star Markets ของภาคการท่องเที่ยวไทย ตลาดไกลเตรียมร่วมงานย้ำเตือนความจำ สำหรับ นายฉัททันต์กุญชร ณ อยุธยา รองผู้ว่าการด้านตลาดยุโรป แอฟริกา ตะวันออกกลาง และอเมริกา การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กล่าวว่า ททท. เตรียมเข้าร่วมงานและกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อประชาสัมพันธ์และดึงดูดนักท่องเที่ยว ผ่านกิจกรรม เช่น Proud Experience 2022 Trade Show ในวันที่ 27-29 มิถุนายน 2565 ณ นครนิวยอร์ก สหรัฐฯ โดยมุ่งหวังส่งเสริมการท่องเที่ยวจากกลุ่มนักท่องเที่ยว LGBTQ+ งาน WTM London 2022 วันที่ 7-9 พฤศจิกายน 2565 ณ กรุงลอนดอน สหราชอาณาจักร เพื่อส่งเสริมนักท่องเที่ยวกลุ่มพักผ่อน โดยปี 2565ททท. ตั้งเป้านักท่องเที่ยวจากตลาดระยะไกลจำนวน 3.75 ล้านคน แบ่งเป็นนักท่องเที่ยวจากตลาดยุโรป แอฟริกาใต้ ละตัวนออกกลาง จำนวน 3 ล้านคน และเป็นนักท่องเที่ยวจากสหรัฐอเมริกาจำนวน 750,000 คน