วันที่ 23 พ.ค.65 นายระพีภัทร์ จันทรศรีวงศ์ อธิบดี กรมวิชาการเกษตร ลงพื้นที่สงขลา เดินทางไปเยี่ยมเกษตรกรและผู้ประกอบการเพาะกล้ากระท่อม ที่ อ.นาทวี จ.สงขลา เมื่อ 21 เมษายน 2565 เพื่อรับฟังสถานการณ์การปลูกและการเพาะกล้ากระท่อม โดยได้รับรายงานจากเกษตรกรว่าในช่วงแรกหลังจากการปลดล๊อกกระท่อมออกจากกฎหมายยาเสพติด ความต้องการต้นกล้ากระท่อมมีสูงมาก สามารถจำหน่ายได้ราคา 200-300 บาทต่อต้น แต่ปัจจุบัน มีผู้ประกอบการเพาะกล้ามากขึ้น ทำให้ราคาลดลงตามกลไกการตลาด ต้นกล้าเพาะเมล็ดอายุ 4 เดือน ราคาจะขายได้ประมาณต้นละ 40 บาท สำหรับแปลงเพาะกล้าของผู้ประกอบการอำเภอนาทวี มีการเพาะกล้าประมาณ 7 แสนต้น โดยลูกค้าจะเป็นบริษัทเอกชนที่ประกอบการธุรกิจกระท่อม เกษตรกรรายใหญ่ และลูกค้าเกษตรกรทั่วไป ซึ่งเกษตรกรผู้ปลูกกระท่อมมีความต้องการคำแนะนำทางวิชาการ เช่น พันธุ์ และวิธีการจัดการที่เหมาะสม เพื่อนำมาใช้ในการผลิตให้ได้ผลผลิตตามที่ตลาดต้องการ
อธิบดีกรมวิชาการเกษตร กล่าวว่า กรมได้ให้ความสำคัญกับการพัฒนาพืชสมุนไพร โดยเฉพาะกัญชา กัญชง กระท่อม ซึ่งกรมวิชาการเกษตรได้แต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นมาทำหน้าที่ดูแลด้านนี้โดยเฉพาะ และ ได้มอบหมายให้สวพ.1-8 และหน่วยงานของกรมทำการค้นคว้าวิจัยเทคโนโลยีที่เหมาะสมในการจะเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตกระท่อมต่อไป อย่างไรก็ตามการวิจัยบางเรื่องอาจจะต้องใช้เวลาหลายปี ซึ่งจะไม่ทันการต่อความต้องการเทคโนโลยีของเกษตรกร กรมจึงได้มอบหมายให้นักวิจัย สวพ.8 ทำการศึกษา วิเคราะห์อภิมาน (meta-analysis) ในพื้นที่ภาคใต้ตอนล่างก่อน เพื่อจะได้เป็นคำแนะนำเบื้องต้นแก่เกษตรกร
ในสวนงานที่ สวพ.8 ดำเนินการอยู่ในขณะนี้ คือ การสำรวจรวบรวมพันธุ์ ดำเนินการที่ ศวพ.ยะลา รวบรวม แล้วจากจังหวัดนครศรีธรรมราช พัทลุง ยะลา การศึกษาเทคโนโลยี ดำเนินการที่ ศวพ.สงขลา การจัดทำแปลงต้นแบบ ที่ศวพ.ตรัง ศวพ.สตูล ศวพ.พัทลุง ศวพ.ปัตตานี ศวพ.รือเสาะ ศวพ. นราธิวาส การทดลองปลูกในแปลง เกษตรกร โครงการ วิจัยความั่มคงทางอาหาร (ปี2565-67) 6 ชุมชน ใน จ. พัทลง ปัตตานี สตูล ยะลา สงขลา นอกจากนั้น สวพ.8 จะได้บูรณาการกับมหาวิทยาลัยทักษิณพัทลุง มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ และกับหน่วยงานต่าง ๆ โดย สวพ.8 จะสนับสนุนการรับรองมาตรฐาน GAP / Organic และการเทคโนโลยีการผลิตเพื่อให้ได้กระท่อมคุณภาพที่จะวัตถุดิบทางการแพทย์และอุตสาหกรรมต่อไป
นอกจานี้ อธิบดีกรมวิชาการเกษตร ได้มาเป็นประธานการลงนามความร่วมมือระหว่าง สถาบันวิจัยและพัฒนาและนวัตกรรมทางการแพทย์ สำนักวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ กับบริษัทไทยอิสเทิร์นออแกนิก้าจำกัด ภายใต้การร่วมมือกับ กรมวิชาการเกษตร สำนักงานเษตรและสหกรณ์จังหวัดชลบุรี มหาวิทยาลัยบูรพา มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลภาคตะวันออก และวิสาหกิจชุมชนของจังหวัดชลบุรี ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการบูรณาการงานพัฒนากระท่อมต่อไป โดยจะมีกิจกรรม เช่น การปลูก การรับรองมาตรฐาน การแปรรูป การพัฒนาโรงงานต้นแบบในการผลิตสารสกัดมาตรฐานจากสมุนไพรเพื่อใช้ในทางการแพทย์และอาหารที่ได้ม่ตรฐาน GMP ซึ่งปัจจุบันนี้ได้มีการจัดทำแปลงต้นแบบในพื้นที่จังหวัดชลบุรี
ด้านการตลาดปัจจุบันอินโดนีเซียจะมีการส่งออกมากที่สุด ในปี2563 มีการส่งออกกระท่อม มายังไทย 30 ตัน มูลค่า 23,140 $ ทั้งนี้กระท่อมไทยถือว่าเป็นกระท่อมที่มีชื่อเสียงในตลาดโลก จากข้อมูลการวิเคราะห์สารสำคัญของมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์พบว่ามีสารสำคัญไมทราไจนีน (Mitragynine) สูงประมาณ 14,000- 15,000 mg/kg ซึ่งสูงกว่าตัวอย่างจากต่างประเทศ จึงนับว่าเป็นโอกาสที่ดี ของไทยในการพัฒนา อย่างไรก็ตามปริมาณสารสำคัญจะขึ้นกับสายพันธุ์ การขยายพันธ์ การใส่ปุ๋ย ให้น้ำ แสง สภาพแวดล้อมการปลูก และการจัดการหลังการเก็บเกี่ยว ซึ่งเกษตรกรจะต้องพิจารณาประเด็นเหล่านี้ประกอบการพิจารณาในการจัดการสวนกระท่อม และในโอกาสที่ไทยจะเป็นเจ้าภาพการประชุม APEC ในครั้งที่จะถึงนี้กรมวิชาการเกษตรจะได้มีการนำประเด็นกระท่อมเข้าไปนำเสนอในที่ประชุมด้วย นอกจากนี้ที่ประชุมได้มีความเห็นชอบร่วมกันในการที่จะร่วมบูรณาการงานวิจัยและพัฒนาระหว่างกรมวิชาการเกษตร กับ มหาวิทยาลัย ภาคเอกชน และชุมชนที่จะมีขึ้นในโอกาสต่อไป
ในสวนงานที่ สวพ.8 ดำเนินการอยู่ในขณะนี้ คือ การสำรวจรวบรวมพันธุ์ ดำเนินการที่ ศวพ.ยะลา รวบรวม แล้วจากจังหวัดนครศรีธรรมราช พัทลุง ยะลา การศึกษาเทคโนโลยี ดำเนินการที่ ศวพ.สงขลา การจัดทำแปลงต้นแบบ ที่ศวพ.ตรัง ศวพ.สตูล ศวพ.พัทลุง ศวพ.ปัตตานี ศวพ.รือเสาะ ศวพ. นราธิวาส การทดลองปลูกในแปลง เกษตรกร โครงการ วิจัยความั่มคงทางอาหาร (ปี2565-67) 6 ชุมชน ใน จ. พัทลง ปัตตานี สตูล ยะลา สงขลา นอกจากนั้น สวพ.8 จะได้บูรณาการกับมหาวิทยาลัยทักษิณพัทลุง มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ และกับหน่วยงานต่าง ๆ โดย สวพ.8 จะสนับสนุนการรับรองมาตรฐาน GAP / Organic และการเทคโนโลยีการผลิตเพื่อให้ได้กระท่อมคุณภาพที่จะวัตถุดิบทางการแพทย์และอุตสาหกรรมต่อไป
นอกจานี้ อธิบดีกรมวิชาการเกษตร ได้มาเป็นประธานการลงนามความร่วมมือระหว่าง สถาบันวิจัยและพัฒนาและนวัตกรรมทางการแพทย์ สำนักวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ กับบริษัทไทยอิสเทิร์นออแกนิก้าจำกัด ภายใต้การร่วมมือกับ กรมวิชาการเกษตร สำนักงานเษตรและสหกรณ์จังหวัดชลบุรี มหาวิทยาลัยบูรพา มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลภาคตะวันออก และวิสาหกิจชุมชนของจังหวัดชลบุรี ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการบูรณาการงานพัฒนากระท่อมต่อไป โดยจะมีกิจกรรม เช่น การปลูก การรับรองมาตรฐาน การแปรรูป การพัฒนาโรงงานต้นแบบในการผลิตสารสกัดมาตรฐานจากสมุนไพรเพื่อใช้ในทางการแพทย์และอาหารที่ได้ม่ตรฐาน GMP ซึ่งปัจจุบันนี้ได้มีการจัดทำแปลงต้นแบบในพื้นที่จังหวัดชลบุรี
ด้านการตลาดปัจจุบันอินโดนีเซียจะมีการส่งออกมากที่สุด ในปี2563 มีการส่งออกกระท่อม มายังไทย 30 ตัน มูลค่า 23,140 $ ทั้งนี้กระท่อมไทยถือว่าเป็นกระท่อมที่มีชื่อเสียงในตลาดโลก จากข้อมูลการวิเคราะห์สารสำคัญของมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์พบว่ามีสารสำคัญไมทราไจนีน (Mitragynine) สูงประมาณ 14,000- 15,000 mg/kg ซึ่งสูงกว่าตัวอย่างจากต่างประเทศ จึงนับว่าเป็นโอกาสที่ดี ของไทยในการพัฒนา อย่างไรก็ตามปริมาณสารสำคัญจะขึ้นกับสายพันธุ์ การขยายพันธ์ การใส่ปุ๋ย ให้น้ำ แสง สภาพแวดล้อมการปลูก และการจัดการหลังการเก็บเกี่ยว ซึ่งเกษตรกรจะต้องพิจารณาประเด็นเหล่านี้ประกอบการพิจารณาในการจัดการสวนกระท่อม และในโอกาสที่ไทยจะเป็นเจ้าภาพการประชุม APEC ในครั้งที่จะถึงนี้กรมวิชาการเกษตรจะได้มีการนำประเด็นกระท่อมเข้าไปนำเสนอในที่ประชุมด้วย นอกจากนี้ที่ประชุมได้มีความเห็นชอบร่วมกันในการที่จะร่วมบูรณาการงานวิจัยและพัฒนาระหว่างกรมวิชาการเกษตร กับ มหาวิทยาลัย ภาคเอกชน และชุมชนที่จะมีขึ้นในโอกาสต่อไป