วันที่ 19 พ.ค.65 รศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Thira Woratanarat ระบุข้อความว่า...
ทะลุ 524 ล้านไปแล้ว
เมื่อวานทั่วโลกติดเพิ่ม 752,159 คน ตายเพิ่ม 1,521 คน รวมแล้วติดไปรวม 524,630,463 คน เสียชีวิตรวม 6,294,383 คน
5 อันดับแรกที่ติดเชื้อสูงสุดคือ เกาหลีเหนือ สหรัฐอเมริกา ไต้หวัน เยอรมัน และออสเตรเลีย
เมื่อวานนี้จำนวนติดเชื้อใหม่มีประเทศจากยุโรปและเอเชียครอง 7 ใน 10 อันดับแรก และ 13 ใน 20 อันดับแรกของโลก
จำนวนติดเชื้อใหม่ในแต่ละวันของทั่วโลกตอนนี้ มาจากทวีปเอเชียและยุโรป รวมกันคิดเป็นร้อยละ 74.29 ของทั้งโลก ในขณะที่จำนวนการเสียชีวิตคิดเป็นร้อยละ 60.02
การติดเชื้อใหม่ในทวีปเอเชียนั้นคิดเป็นร้อยละ 54.23 ของทั้งโลก ส่วนจำนวนเสียชีวิตเพิ่มคิดเป็นร้อยละ 13.34
...สถานการณ์ระบาดของไทย
จากข้อมูล Worldometer เช้านี้พบว่า
เมื่อวานนี้จำนวนติดเชื้อใหม่ รวม ATK สูงเป็นอันดับ 11 ของโลก และอันดับ 5 ของเอเชีย
ในขณะที่จำนวนเสียชีวิตเมื่อวาน สูงเป็นอันดับ 11 ของโลก และเป็นอันดับ 1 ของเอเชีย ถึงแม้สธ.ไทยจะปรับระบบรายงานตั้งแต่ 1 พ.ค.เป็นต้นมาจนทำให้จำนวนที่รายงานนั้นลดลงไปก็ตาม
ทั้งนี้จำนวนเสียชีวิตของไทยเมื่อวานคิดเป็น 22.16% ของการเสียชีวิตทั้งหมดที่รายงานของทวีปเอเชีย
...Endemic diseases...
การประกาศให้โรคใดโรคหนึ่งเป็นโรคที่พบได้ประจำในท้องถิ่นนั้น สิ่งที่ต้องบรรลุก่อนคือ การรู้จักธรรมชาติของมันว่าระบาดอย่างไร สามารถคาดการณ์การเปลี่ยนแปลงของตัวเชื้อโรคนั้นได้
แต่สำหรับโควิด-19 นั้น ตราบจนถึงปัจจุบันยังคาดการณ์ได้ยากว่าตัวเชื้อไวรัสนั้นจะเปลี่ยนแปลงไปในลักษณะอ่อนแอลง หรือแข็งกร้าวมากขึ้น แม้ในประเทศตะวันตกพอจะสังเกตเห็นได้จากสองปีที่ผ่านมาว่าจะระบาดหนักในช่วงหน้าหนาว แต่ก็ยังฟันธงไม่ได้แน่นอนนัก
นอกจากปัจจัยข้างต้น ยังต้องประเมินดูสถานะที่แท้จริงของประเทศว่า ตัวเลขที่เห็นจากรายงานทางการทุกวันนั้นมันสะท้อนสถานการณ์จริงที่เกิดขึ้นในสังคมจริงหรือไม่?
เพราะหากเป็นภาพจริง ก็ย่อมทำให้ประเมินสถานะตนเองได้ดีว่า การระบาดนั้นเอาอยู่ ทรัพยากรเพียงพอ และสูญเสียน้อย จนควบคุมโรคอยู่หมัดได้จริง
แต่หากเป็นภาพที่ไม่ตรงกับความจริง ตัวเลขติดเชื้อน้อย ทั้งที่จริงแล้ว คนตรวจด้วยตนเองแต่ไม่รายงาน หรือไม่ตรวจแม้จะมีอาการไม่สบาย เพราะรู้ว่ารายงานเข้าระบบไปก็ไม่ช่วยให้ชีวิตดีขึ้น วิ่งหาหยูกยา หรือรักษาตนเองดูจะสะดวกกว่า หรือไม่รายงาน เพราะรู้ว่าหากเลเบลตนเองว่าติดเชื้อ จะต้องหยุดงาน ไม่มีกลไกสนับสนุนช่วยเหลือเยียวยาอย่างเพียงพอ
หรือหากตัวเลขตายลดลงสวยงาม แต่โดยแท้จริงแล้วไม่สะท้อนสถานการณ์จริงที่มีคนอีกจำนวนไม่น้อยที่ตายโดยพบว่าติดเชื้อแต่มีโรคอื่นประจำตัว ไม่รวมไว้ในรายงานสถานการณ์ให้สังคมได้ทราบ ก็ย่อมส่งผลต่อการประเมินสถานการณ์ และการรับรู้ความเสี่ยงที่บิดเบือนไป จนอาจเกิดผลต่อพฤติกรรมป้องกันตัว และการวางแผนนโยบายและมาตรการต่างๆ รวมถึงการผลักดันให้เป็น endemic disease ได้เช่นกัน
ที่สำคัญมากคือ การประเมินระบบสุขภาพของตนเองว่า จริงๆ แล้ว หยูกยาที่มีใช้นั้นเป็นไปตามหลักฐานทางการแพทย์มาตรฐานสากล มีปริมาณเพียงพอ เข้าถึงได้สะดวกหรือไม่ รวมถึงวัคซีนป้องกัน และสัดส่วนประชากรทุกช่วงวัยที่ได้รับการสร้างภูมิคุ้มกันด้วยวัคซีนที่ดีมีมาตรฐานสากลอย่างเพียงพอ
ทุกเรื่องข้างต้นล้วนมีความสำคัญในการกำหนดย่างก้าวของแต่ละประเทศท่ามกลางสถานการณ์ระบาดของโรคโควิด-19 ที่ยังไม่ได้สิ้นสุด
หลายเรื่องในสังคมนั้น เปรียบเหมือนการขึ้นรถไฟที่ไม่หวนกลับ เช่น การปลดล็อคกัญชา ซึ่งเริ่มเห็นผลกระทบที่เกิดขึ้นแล้ว
การตัดสินใจเรื่องโรคโควิด-19 ก็เช่นกัน
ธรรมดา...เอาอยู่...เพียงพอ...ประจำถิ่นรวดเร็วดังสายฟ้าแลบ
ผลลัพธ์ที่ผ่านมา ประชาชนในแต่ละประเทศย่อมทราบดีว่าเป็นเช่นนั้นหรือไม่
มันใช่จริงหรือ?
สวัสดิภาพและความปลอดภัยในชีวิตของประชาชนทุกคนในสังคม เป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด