จากกรณี "นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์" ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม ไลฟ์ผ่านช่องยูทูบ “โคนัน เมืองไทย” เมื่อวันที่ 2 พ.ค.65 ที่ผ่านมา ซึ่งบางช่วงนายอัจฉริยะ พูดท้าทาย "แซน วิศาพัช มโนมัยรัตน์" กับเพื่อนบนเรือที่ "แตงโม นิดา พัชรวีระพงษ์"ดาราสาวพลัดตลลงแม่น้ำเจ้าพระยาเสียชีวิต ให้ไปสาบานต่อหน้า "พระเจ้าใหญ่" ที่"วัดหงส์" หรือ วัดศีรษะแรด อ.พุทไธสง จ.บุรีรัมย์ หากไม่มีส่วนรู้เห็นกับการเสียชีวิตของแตงโม
ล่าสุด "พระเบิกกฤกษ์ ฐานตตโร" หัวหน้าคณะสงฆ์วัดหงษ์ บ้านศีรษะแรด กล่าวว่า ถ้ามาจริงทางวัดพร้อม จะมาคนเดียวหรือมาเป็นคณะได้ทั้งนั้น ใช้เวลาในการทำพิธีประมาณ 20 นาทีก็เสร็จ ผู้เข้าสาบานจะต้องทำตามมัคทายกของวัด และจะต้องกินน้ำมนต์ที่สาบานไว้ต่อหน้าพระหงส์เท่านั้น ไม่อนุญาตให้นำน้ำมนต์ออกจากวัดไปกินที่อื่น วัดนี้เป็นวัดศักดิ์สิทธิ์ ใครมาสาบานแล้วห้ามฝืนโดยเด็ดขาด แต่ถ้าสาบานแล้วคิดว่าทำไม่ได้จะต้องมาถอนคำสาบาน แล้วพระจะไม่ลงโทษ ที่ผ่านมาเคยมีคนมาสาบาน แล้วแอบมาถอนด้วยตนเอง โดยมัคทายกไม่ทราบ กรณีแซน กับอัจฉริยะ ถ้าจะมาจริง ขออย่ามาแอบถอนคำสาบานก็แล้วกัน
"วัดหงษ์" หรือ "วัดศีรษะแรด" ตั้งอยู่ที่อำเภอพุทไธสง จังหวัดบุรีรัมย์ เป็นที่ประดิษฐาน "พระเจ้าใหญ่" พระพุทธรูปปางมารวิชัย ซึ่งได้รับการค้นพบในราว พ.ศ. 1792 โดยท้าวศรีปาก (นา) และไพร่พลซึ่งตามแรดใหญ่มา จึงได้มีการตั้งรกรากในบริเวณนั้น แต่ก็ได้เสื่อมลงตามกาลเวลา
ต่อมาในพ.ศ. 2200 พรานป่า 2 คนได้ตามหงส์เข้ามาในป่า ได้พบองค์พระเจ้าใหญ่ ซากเจดีย์ นอแรด และกระดูกแรด จึงชวนผู้คนมาตั้งรกราก ตั้งชื่อว่า "บ้านศีรษะแรด" และสร้างวัดชื่อ "วัดหงษ์" และในปี พ.ศ. 2513 ได้มีการขุดค้นพบพระปรางค์สูง 70 เซนติเมตร ในบริเวณวิหารพระเจ้าใหญ่อีกด้วย
"พระเจ้าใหญ่" เป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ เป็นที่เลื่อมใสศรัทธาของชาวบุรีรัมย์และจังหวัดใกล้เคียง พุทธลักษณะ ปางมารวิชัย วัสดุสัมฤทธิ์ ปางสมาธิ หน้าตักกว้าง 1.6 เมตร สูง 2 เมตร สร้างด้วยศิลาแลง มีอายุอยู่ประมาณพุทธศตวรรษที่ 19-20 ช่างที่สร้างอาจเป็นช่างสกุลลาว ศิลปะล้านช้าง โดยดูจากพระเกศที่มีลักษณะเฉพาะในภาคอีสานและในประเทศลาวเท่านั้น
สําหรับองค์พระนั้น มีอักษรขอมจารึกบนแผ่นดินเผา ปัจจุบันถูกทําลายแล้ว อ่านได้เฉพาะคําหน้าว่า “พระเจ้าใหญ่” อักษรตัวอื่นไม่มีใครอ่านออก จึงเรียกองค์พระว่าพระเจ้าใหญ่ตั้งแต่นั้นมา ส่วนเจดีย์มีอักษร ขอมจารึกไว้ที่ฐานแต่ไม่มีใครอ่านออก จนเสื่อมสลายไปตามกาลเวลา
ส่วนเรื่องความศักดิ์สิทธิ์ขององค์พระเจ้าใหญ่นั้น ในสมัยก่อน หากมีผู้ใดมาตัดไม้ทําลายป่าในบริเวณใกล้ๆ กับที่ประดิษฐานขององค์พระ ก็จะเกิดการหลงป่าหลงทางกลับบ้านไม่ถูก หรือไม่ก็จะเห็นว่าบริเวณนั้นเต็มไปด้วยน้ําต้องว่ายน้ํากลับบ้าน แต่เมื่อมี คนมาพบก็จะเห็นว่าคนนั้นกําลังว่ายอยู่บนบก อิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์เหล่านี้ได้ มีผู้ประสบหลายครั้งหลายคราว จึงมีผู้คิดจัดงานฉลองให้ผู้คนเข้านมัสการ และปิดทองคําเปลวที่องค์พระเจ้าใหญ่ ในช่วงวันเพ็ญเดือน ๓ ของทุกปี ตั้งแต่โบราณมาจนถึงปัจจุบันนี้
มีเรื่องเล่าอีกว่า ในปี พ.ศ.2478 มีผู้มาสาบานต่อหน้าองค์พระเจ้าใหญ่ว่าจะเลิกเสพสิ่งเสพติดจะเลิกดื่มสุราและเครื่องดองของเมาต่างๆ แล้วมีหลายรายที่ไม่ทําตามคําสาบาน ก็ต้องมีอันเป็นไปในลักษณะอาเพศต่างๆ ตามคํามั่นสัญญาที่ตนสาบานไว้ จึงไม่มีผู้ใดกล้ามาสาบานอีก ต่อมาในระยะหลังๆ จึงมีผู้ไปพึ่งบารมีแห่งความศักดิ์สิทธิ์ขององค์พระเจ้าใหญ่ โดยการสาบานเลิกดื่มสุรา และเห็นผลตามคําสาบานทุกประการ
นอกจากนี้ ยังมีอิทธิฤทธิ์เกี่ยวกับการขอบุตร มีสามีภรรยาหลายคู่ที่แต่งงานกันมา นานนับสิบปี แต่ไม่มีบุตรด้วยกัน พากันไปนมัสการขอบุตรจากพระเจ้าใหญ่ ปรากฏว่ามีบุตรตามที่ปรารถนา และในด้านคดีความ เมื่อมีคู่กรณีเกิดการฟ้องร้องกันแล้วไม่สามารถตกลงกันได้ แต่ถ้ามาออมชอมกันต่อหน้าองค์พระเจ้าใหญ่ ก็เกิดความเมตตาสงสารกันและตกลงกันได้ด้วยดีไป หลายรายแล้ว