จากการที่รัฐบาลเดินหน้าในการปลดล็อค “กัญชา” จากพื้นฐานยาเสพติดให้โทษ กลายเป็นพืชทางการแพทย์ และพืชเศรษฐกิจตัวใหม่ของชุมชน ซึ่งต้องยอมรับว่าประสบความสำเร็จอย่างมาก จนทุกวันนี้ “กัญชา” กลายเป็นพื้นที่เกษตรกรสามารถปลูกได้ ทำรายได้ให้อย่างมหาศาล!! แต่ทุกอย่างก็ต้องมีกรอบ และขอบเขตในการทำ! เพราะต้องเข้าใจพื้นฐานของ “กัญชา” ก่อนหน้านี้ เป็น “ยาเสพติดให้โทษ” แต่สามารถปรับมาใช้กับทางการแพทย์ในการรักษาคนไข้ ซึ่งได้มีการศึกษา และวิจัย จากกรมการแพทย์ กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก และกรมสุขภาพจิต จนสามารถแก้ไขกฎหมายทำให้กัญชา หลุดจากการเป็นยาเสพติดให้โทษได้ ล่าสุดได้มีนักลงทุนทุ่มงบกว่า 120 ล้าน เปิด “เมดิคาน่า แล็บ” รุกธุรกิจกัญชา-กัญชง เดินหน้าธุรกิจต้นน้ำ ผลิตช่อดอก มาตรฐาน Medical-Grade ด้วยเทคโนโลยี smart farming ตั้งแต่การคัดสรรสายพันธุ์ โคลนนิ่งต้นกล้า ผลิตช่อดอก CBD สูง ก่อนต่อยอดสู่กลางน้ำ และปลายน้ำ ทั้งผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ ส่งออก ท่องเที่ยว โดย “นายวรภัทร พรประภา” กรรมการผู้จัดการฝ่ายบริหาร บริษัท เมดิคาน่า แล็บ จำกัด กล่าวว่า บ.เมดิคาน่า แล็บ ได้รับใบอนุญาติผลิตกัญชง แห่งแรกของกรุงเทพมหานครในปี พ.ศ. 2565 จากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) โดยวัตถุประสงค์หลักในการดำเนินธุรกิจคือ การผลิต ช่อดอกกัญชง ในมาตรฐาน Medical-Grade เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ ด้วยการปลูกใน Indoor Facility ที่ถูกออกแบบด้วยเทคโนโลยี smart farming ทำงานควบคู่กับระบบ IOT เพื่อควบคุมสภาพแวดล้อมที่สมบูรณ์สำหรับต้นกัญชงอย่างครบวงจร เช่น อุณภูมิ ความถี่ของแสง Co2ในอากาศ ระดับความชื้นและค่า VPD (ความต่างของแรงดันในใบ เทียบกับแรงดันในอากาศ) เป็นต้น รวมถึงระบบ automatic fertigation หรือการจ่ายปุ๋ยแบบอัตโนมัติ เพื่อ dosing และ feeding program ที่แม่นยำ สามารถเก็บ data หรือข้อมูลสำคัญสำหรับการวิจัยอย่างต่อเนื่อง รวมถึงได้มีการตรวจสอบและเปรียบเทียบข้อมูลผ่านทางกล้องวงจรปิด ควบคู่กับ sensor เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดูแลต้นกัญชงให้ได้มาตรฐาน นอกจากนี้ทางบริษัทยังได้รับการรับรองจากต่างประเทศให้เป็น “South East Asia’s largest Fluence Bioengineering Lighting Solution Cultivation Facility” การใช้ระบบเทคโนโลยี Artificial Lighting ซึ่งนำเข้าจากสหรัฐอเมริกาด้วย Innovation ที่สามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการสังเคราะห์แสงและการบริหารการใช้พลังงาน เพื่อรักษาอุณหภูมิที่เหมาะสมและเพิ่ม yield หรือปริมาณผลผลิตที่สูงที่สุด เมื่อประกอบด้วยทีมนักปลูกระดับมืออาชีพ ในหลักการของ nature optimization เพื่อช่อดอกที่มีสาร CBD สูงปราศจากสารปนเปื้อน และ THC ไม่เกิน 1% เพื่อผลิตผลที่สอดคล้องกับกฎระเบียบจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) โดยมีมาตรฐานที่ consistent อย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ เมดิคาน่า มีห้องปฏิบัติการซึ่งประกอบด้วย ห้องแม่พันธุ์ ห้องทำดอก ห้องทำใบ ห้องต้นกล้า และห้องเก็บผลผลิต โดยบริษัทออกแบบ Facility ให้รวมไปถึง Nursery Shelves หรือแหล่งเพาะปลูกต้นกล้า เกรด Indoor ด้วยสายพันธุ์กัญชงที่ได้รับการคัดเลือกและพัฒนามามากกว่า 2 ปี ซึ่งมีสาร CBD สูงถึง 22% และ Terpene profile ที่มีเอกลักษณ์ จากการวิจัยคัดสรรพันธุกรรมจากพาร์ตเนอร์ ด้วยความร่วมมือกับ วิทยาลัยสหเวชศาสตร์ ภาควิชากัญชาเวชศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา เพื่อจำหน่ายให้กับผู้ประกอบการธุรกิจและเกษตรกรทั่วไป นอกจากนี้ยังร่วมมือกับ บริษัท ธาราเธรา คอร์ปอเรชั่น จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทที่มีประสบการณ์มีทีมงานที่มีความรู้ด้านกัญชาและกัญชงทั้งในและต่างประเทศมายาวนาน ผลิตสารสกัด CBD จากต้นกัญชง ที่มีประโยชน์ทางการแพทย์มากมาย เช่น ลดอาการชักจากโรคปลอกประสาทเสื่อม (Multiple Sclerosis), โรคลมชักที่ไม่ตอบสนองต่อยา, ลดอาการวิตกกังวล, โรคนอนไม่หลับ, มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ สามารถช่วยในโรคสะเก็ดเงิน รวมถึงผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์และเครื่องสำอางค์อื่นๆ ให้กับผู้ประกอบการธุรกิจ และผู้สนใจทั่วไป ด้าน “นายศิรสิทธิ์ ปราณีนิจ” กรรมการผู้จัดการฝ่ายปฏิบัติการ กล่าวว่า บริษัทมีแผนใช้เงินลงทุนกว่า 120 ล้านบาท ในการเดินหน้าพันธกิจ (Mission) สร้างเครือข่ายเพื่อธุรกิจกัญชา-กัญชง และผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลาง (Hub) ธุรกิจกัญชา-กัญชงของอาเซียน ด้วยการผนึกกำลังกับพันธมิตรเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืนให้กับอุตสาหกรรมกัญชา-กัญชงไทย ทั้งในรูปแบบผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ การท่องเที่ยว การส่งออก และผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในชีวิตประจำวัน โดยแผนการดำเนินงานจะแบ่งออกเป็น 2 เฟส ได้แก่ เฟส 1 ใช้งบลงทุนราว 20 ล้านบาท สำหรับการลงทุนในโรงเรือนเพาะปลูก Indoor Facility ที่ถูกออกแบบด้วยเทคโนโลยี smart farming ทำงานควบคู่กับระบบ IOT ซึ่งสามารถผลิตช่อดอกแห้ง (Medical grade CBD Flower) ได้ราว 500 กิโลกรัมต่อปี รวมถึง การวิจัยและพัฒนา พร้อมห้องปฏิบัติการต่างๆ เช่น ห้องทำดอก ห้องแยกสายพันธุ์ ห้อง Nursery เพาะเลี้ยงต้นกล้า เป็นต้น โดยผลผลิตลอตแรกจะออกสู่ตลาดในเดือนกรกฎาคม 2565 นี้ โดยกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ได้แก่ หน่วยงานองค์กรภาครัฐ (B2G) และ บริษัท เอกชนที่ต้องการดำเนินธุรกิจ (B2B) ซึ่งขณะนี้มีผู้สนใจและอยู่ระหว่างการเจรจาเบื้องต้นแล้วหลายราย เฟส 2 ใช้งบลงทุนกว่า 100 ล้านบาท ในการลงทุนขยายกำลังการเพาะปลูก กำลังผลิตพร้อมต่อยอดธุรกิจจากต้นน้ำ สู่กลางน้ำและปลายน้ำ ด้วยการจับมือกับพันธมิตรในการลงทุนแบบครบวงจร เพื่อสร้างผลผลิตให้มากขึ้น การแปรรูปสู่ผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในชีวิตประจำวัน เครื่องสำอางค์ ฯลฯ เพื่อรองรับตลาดในประเทศและการส่งออกไปต่างประเทศ ด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย และผลผลิตคุณภาพสูง “ในปี 2565 ทางบริษัทตั้งเป้าในการเติบโตก้าวกระโดด จากผลผลิตช่อดอกและต้นกล้าคุณภาพสูง และในปี 2566 จะเริ่มจำหน่ายผลิตภัณฑ์จากกัญชา-กัญชง ทางบริษัทจะมีรายรับเพิ่มขึ้นกว่า 100% จากการเริ่มออกวางจำหน่ายและการส่งออกไปยังต่างประเทศ” การเดินหน้าสร้างภาพลักษณ์ของ “กัญชา” อย่างถูกวิธี เป็นเรื่องที่น่าสนับสนุน เพราะสามารถเดินหน้าได้ทั้ง “การแพทย์” และ “เศรษฐกิจ” ไปควบคู่กัน