วันที่ 21 เม.ย.65 นายจรัลธาดา กรรณสูต องคมนตรี ประธานอนุกรรมการติดตามและขับเคลื่อนโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และนายอำพน กิตติอำพน องคมนตรี รองประธานอนุกรรมการติดตามและขับเคลื่อนโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ลงพื้นที่ติดตามความก้าวหน้าโครงการขุดลอกแก้มลิงหนองแสงพร้อมอาคารประกอบอันเนื่องมาจากพระราชดำริ โดยมี ดร.สมศักดิ์ จังตระกุล ผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่น นายพงศธร ศิริอ่อน ผู้ทรงคุณวุฒิด้านวิศวกรรมโยธา (ด้านสำรวจและหรือออกแบบ) นายไชยวิชญ์ กัณหะยุวะ รองผู้อำนวยการสำนักงานชลประทานที่ 6 พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้อง ร่วมลงพื้นที่และรายงานความก้าวหน้าแผนการดำเนินงาน ณ โครงการขุดลอกแก้มลิงหนองแสงพร้อมอาคารประกอบอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ตำบลท่าศาลา อำเภอมัญจาคีรี จังหวัดขอนแก่น สำหรับโครงการขุดลอกแก้มลิงหนองแสงพร้อมอาคารประกอบอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ตั้งอยู่ในพื้นที่ตำบลท่าศาลา อำเภอมัญจาคีรี จังหวัดขอนแก่น มีพื้นที่ติดกับลำน้ำชี สภาพพื้นที่ส่วนใหญ่มีลักษณะเป็นที่ดอนสลับกับพื้นที่ราบลุ่มสภาพดินเป็นดินร่วนปนทราย ราษฎรส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรม มักจะประสบปัญหาน้ำท่วมในฤดูน้ำหลาก และปัญหาการขาดแคลนน้ำอุปโภคบริโภค น้ำเพื่อการเกษตรในช่วงฤดูแล้ง เนื่องจากขาดแหล่งเก็บกักน้ำขนาดใหญ่ในพื้นที่ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงมีพระราชดำริ เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2539 ว่า "ลำน้ำชีในฤดูน้ำหลาก น้ำท่วมพื้นที่สองฝั่งซึ่งเป็นห้วย หนอง บึง และพื้นที่สาธารณะมาก เมื่อถึงเวลาน้ำลด น้ำที่ท่วมพื้นที่ดังกล่าวก็ลดตามไปด้วย ทำให้เกิดการขาดแคลนน้ำตามเดิม ให้พิจารณาหาวิธีเก็บกักน้ำให้อยู่ในพื้นที่ เพื่อใช้ประโยชน์ในการเพาะปลูก" กรมชลประทาน ได้พิจารณาวางโครงการขุดลอกแก้มลิงหนองแสงพร้อมอาคารประกอบ พื้นที่แหล่งน้ำประมาณ 129 ไร่ ประกอบด้วยงานขุดลอกแหล่งน้ำพื้นที่ 120 ไร่ ความลึกเฉลี่ย 3.50 เมตร รวมความจุ 780,000 ลูกบาศก์เมตร งานก่อสร้างฝายน้ำล้น จำนวน 1 แห่ง และก่อสร้างอาคารรับน้ำ จำนวน 5 แห่ง ปัจจุบันอยู่ระหว่างนำเสนอเข้าแผนงานงบประมาณ ปี 2567 หากโครงการแล้วเสร็จ จะส่งผลให้ราษฎรหมู่บ้านท่าสวรรค์ ตำบลท่าศาลา และหมู่บ้านใกล้เคียง จำนวน 500 ครัวเรือน ประชากร 747 คน มีน้ำสำหรับการอุปโภคอย่างเพียงพอ อีกทั้งยังสามารถเป็นแหล่งเพาะพันธุ์สัตว์น้ำ และสนับสนุนพื้นที่การเกษตร ได้ประมาณ 1,330 ไร่ สร้างประโยชน์ให้กับราษฎรในพื้นที่ได้อย่างมั่นคงและยั่งยืนในอนาคต