ลีลาชีวิต/ทวี สุรฤทธิกุล
สิ่งที่ดีที่สุดในการให้ชีวิตแก่ผู้คนก็คือ “การให้อภัย” และการเริ่มชีวิตใหม่อย่าง “มีความหวัง”
ครูจิตราแม้ว่าจะผิดหวังที่ไม่ได้เรียนในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แต่ก็พยายามปรับตัวที่จะอยู่ในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้อย่างเป็นปกติ เพราะว่าสภาพภายในจุฬาฯยุคนั้นยังมีระบบ “โซตัส” หรือประเพณีของการใช้ชีวิตในมหาวิทยาลัยแบบมี “รุ่นพี่ - รุ่นน้อง” (SOTUS = Spirit + Order + Tradition + Unity + Seniority) แต่ด้วยความที่ครูจิตราเป็นผู้หญิงก็ทำให้ไม่ได้เป็นเป้าหมายของการทำให้ “ทุกข์ทรมาน” จากรุ่นพี่มากนัก และยิ่งครูจิตรามีลักษณะของ “หญิงแกร่ง” ก็ยิ่งทำให้เป็นที่เกรงใจของทั้งรุ่นพี่และรุ่นเดียวกัน
ยุคนั้นเป็นยุคที่เรียกว่า “ฟ้าสีทองผ่องอำไพ” หรือ “ยุคแสวงหา” ซึ่งแตกต่างจากยุคก่อนหน้านั้นที่เรียกว่า “ยุคสายลมแสงแดด” ที่ผู้คนใช้วิตอย่างสุขสบาย มีอิสระเสรี ไม่ค่อยแคร์ใคร อย่างพวกฮิปปี้ในประเทศตะวันตก ซึ่งก็หลั่งไหลเข้ามาพร้อมกับวัฒนธรรมของการคลั่งตะวันตก โดยเฉพาะในมหาวิทยาลัยที่เยาวชนที่เข้ามาอยู่ก็ได้ใช้ชีวิตอย่างเสรีมากขึ้น เพราะเป็นวัยที่อยากเป็นตัวของตัวเอง จึงพยายามที่จะสลัดโซ่ตรวนจากการที่เคยถูกควบคุมต่าง ๆ จากทางบ้านและครอบครัว ท่ามกลางพฤติกรรมเลียนแบบกันและกัน เพื่อสร้างความเป็นหมู่คณะ ซึ่งในยุคสายลมแสงแดดนั้นจะออกไปในทางพากันเที่ยวเตร่เฮฮา หรือหาความสุขในหมู่พวกเดียวกันเอง แบบที่คนยุคแสวงหาเรียกคนรุ่นก่อนนั้นว่า “พวกไร้สาระ”
ครูจิตราได้ไปรู้จักรุ่นพี่ที่ทำงานชมรมค่ายอาสาตั้งแต่ที่เข้าไปอยู่ในปีแรก พวกชมรมค่ายอาสานี้ส่วนใหญ่นี้มีแนวคิดแบบฟ้าสีทองผ่องอำไพ คือพยายามที่จะคิดสร้างสังคมใหม่ที่ดีกว่าเดิม โดยมองว่าสังคมแบบศักดินาที่ครอบงำสังคมไทยอยู่นั้น ได้ทำให้สังคมเกิดความแตกแยกหรือเกิดความเหลื่อมล้ำ การช่วยเหลือคนยากจนและผู้ด้อยโอกาสคือหนทางหนึ่งที่จะสร้างความเสมอภาคเท่าเทียมให้เกิดขึ้น ซึ่งงานค่ายอาสาจะเน้นไปที่ผู้ด้อยโอกาสในชนบท โดยเฉพาะหมู่บ้านหรือชุมชนในที่ห่างไกล มีความยากจน และแห้งแล้งกันดาร ทั้งนี้จะมีการทำงานเป็นเครือข่าย คือเชื่อมโยงกันกับเยาวชนในต่างจังหวัด ซึ่งบางส่วนก็คือตัวนิสิตและนักศึกษานั่นเอง ที่มีภูมิลำเนาหรือญาติพี่น้องอยู่ในต่างจังหวัด รวมถึงนิสิตนักศึกษาในมหาวิทยาลัยในภูมิภาค ที่คอยให้ข้อมูลหรือขอความช่วยเหลือมายังชมรม ส่วนเงินทุนสนับสนุนนั้นก็ช่วยกันจัดกิจกรรมระดมทุน อย่างที่นิยมกันมากคือการจัดแสดงดนตรี ที่ในสมัยนั้นก็คือพวกดนตรีเพื่อชีวิต แต่ก็ไม่ค่อยได้เงินมากเท่าใดนัก เพราะผู้ซื้อตั๋วมาฟังก็ล้วนแต่เป็นคนระดับล่างในสังคม ดังนั้นจึงยังต้องใช้วิธีขอเรี่ยไรและรับบริจาคจากผู้มีจิตกุศลต่าง ๆ ซึ่งในคณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ ก็คือการเข้าหารุ่นพี่ที่ไปทำงานอยู่ในกิจการใหญ่ ๆ มีเงินเดือนสูง ๆ จำพวกบริษัทใหญ่ ๆ และรัฐวิสาหกิจทั้งหลาย แต่สำหรับชมรมค่ายอาสาออกจะขัดเขินที่จะต้องไปขอรับการสนับสนุนจากพวก “นายทุน” แต่ก็ยังยินดีที่จะรับเงินจากนายทุนที่เป็นรุ่นพี่เหล่านั้น ตามประเพณีในระบบโซตัสที่รุ่นพี่ต้องช่วยเหลือรุ่นน้องนั่นเอง
พอขึ้นชั้นปี 2 ครูจิตราก็ได้เสนอโครงงานให้ชมรมค่ายอาสาหันมาให้ความช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสในกรุงเทพฯ ที่ทางชมรมไม่เคยมีโครงการลงพื้นที่ในกรุงเทพฯนั้นมาก่อน โดยที่เธอได้อธิบายแก่กรรมการของชมรมว่า กรุงเทพฯก็มีพื้นที่ที่มีความเหลื่อมล้ำอยู่มาก คือพื้นที่ที่มีคนยากจนอาศัยอยู่นั่นเอง ได้แก่สลัมต่าง ๆ ที่มีอยู่มากมายทั่วกรุงเทพฯ และประชากรกลุ่มนี้ก็มีจำนวนนับล้านคน ที่รวมถึงคนที่มาจากต่างจังหวัดและมาหางานทำ ที่มีจำนวนเพิ่มขึ้นในทุกปี และบางคนก็อพยพครอบครัวมาอยู่ในกรุงเทพฯนี้เลย แต่ด้วยความยากจนก็จะต้องมาอยู่ในบ้านเช่าหรือสลัมนั้นอย่างแออัด เกิดปัญหาต่าง ๆ ตามมามากมาย ทั้งระบบสาธารณูปโภคและสาธารณสุขที่ไม่พอเพียง เด็ก ๆ ซึ่งเป็นลูก ๆ ของคนเหล่านั้นก็ไม่มีใครดูแล เพราะพ่อแม่ต้องออกไปทำงาน เกิดปัญหาครอบครัว รวมถึง ยาเสพติด อาชญากรรม จนถึงปัญหาโสเภณี(ที่สมัยนี้เรียกให้ดูดีว่า “ค้ามนุษย์”) ทั้งนี้ครูจิตราได้เล่าถึงชีวิตของเธอที่อาศัยอยู่ใกล้ ๆ ย่านนั้น และได้ผ่านได้เห็นทุกสิ่งทุกอย่างมาด้วยตนเอง ที่สุดกรรมการชมรมก็ยอมมาจัดทำโครงการเพื่อการแก้ไขปัญหาชาวสลัมอย่างที่ครูจิตราเสนอ
โครงการที่เข้าไปทำจะเน้นการช่วยเหลือเด็ก ๆ ที่อยู่กับบ้านเฉย ๆ ในช่วงปิดเทอม โดยชมรมได้รับสมัครอาสาสมัครจากนิสิตที่ยังเรียนอยู่ และรุ่นพี่ของชมรมที่จบออกไปแล้ว ให้มาทำหน้าที่ครูพี่เลี้ยงหรือ “พี่เลี้ยงอาสา” ไปจัดห้องเรียนและพื้นที่สันทนาการให้กับเด็กๆ ที่สลัมคลองเตย โดยเน้นไปที่การแนะนำให้เด็ก ๆ ใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ โดยแบ่งเด็กเป็น 2 กลุ่ม คือกลุ่มเด็กเล็ก อายุตั้งแต่ 4-5 ขวบ ไปจนถึง 10 ขวบ กับกลุ่มเด็กโต อายุตั้งแต่ 11 ขวบจนถึง 14-15 ปี ที่ในปีนั้นก็ยังมีผู้ปกครองส่งเด็กเข้ามาร่วมในโครงการไม่มากนัก แต่พอในปีต่อ ๆ มาก็มีจำนวนมากขึ้น น่าเสียดายที่พอครูจิตราจบออกมาแล้ว โครงการนั้นก็ไม่มีคนทำต่อ ซึ่งทราบว่ากรรมการชุดใหม่อ้างว่าโครงการหาเงินทุนสนับสนุนได้ยาก เนื่องจากผู้สนับสนุนทุนชอบที่จะให้ทำโครงการในต่างจังหวัดนั้นมากกว่า (ซึ่งต่อมาโครงการค่ายอาสาของหลาย ๆ มหาวิทยาลัยก็ถูกทางราชการเพ่งเล็ง โดยเฉพาะในยุคหลัง 6 ตุลาคม 2519 ที่รัฐบาลเกลียดคอมมิวนิสต์มาก ทำให้ในหลายพื้นที่มีการกีดกันไม่ให้นักศึกษาเข้าไปทำโครงการค่ายอาสา หรือ “พัฒนาชนบท” นัยว่านักศึกษาอาจจะตกเป็นเครื่องมือของพวกคอมมิวนิสต์ และเข้าไปยุยงปลุกปั่นชาวบ้านให้ต่อต้านรัฐบาล รวมถึงที่ให้เข้าไปเป็นพวกกับคอมมิวนิสต์ ที่สุดงานค่ายอาสาก็หายไปจากสังคมไทย)
ตอนที่ครูจิตราดูแลโครงการช่วยเหลือชาวสลัมอยู่นั้น ปัญหาที่รุนแรงมากที่สุดที่มีอยู่ในสลัมคลองเตยก็คือปัญหาเยาวชนติดยาเสพติดและถูกล่อลวงให้ไปขายยาเสพติดนั้นด้วย ทั้งนี้วิธีการแก้ปัญหาของภาครัฐก็คือการบังคับใช้กฎหมาย โดยให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าทำการสืบสวนและจับกุมกลุ่มที่ทำการค้าขายยาเสพติดที่มีอยู่นับสิบ ๆ กลุ่มนั้นเป็นหลัก นโยบายนี้ได้ทำให้ตำรวจใช้เป็นโอกาสในการสร้างอิทธิพลและแสวงหาผลประโยชน์ เช่น การที่จะจับหรือไม่จับใคร รวมถึงที่เมื่อจับผู้ต้องหามาได้แล้ว การจะให้ประกันหรือขังไว้ก็อยู่ในข้อตกลงที่ตำรวจสามารถกำหนดได้ รวมทั้งการที่มีข้อต่อรองที่จะทำให้คดีนั้นหนักเบา ตลอดจนทำให้ไม่มีคดี หรือที่เรียกว่า “เป่าคดี” นั้นก็ได้ จึงยิ่งเป็นการสร้างปัญหาให้กับผู้คนในพื้นที่ ที่ต้องใช้ชีวิตอยู่อย่างหวาดกลัว ที่ไม่ใช่หวาดกลัวอาชญากรรมจากพวกที่ค้าและเสพยาเสพติด แต่จากตำรวจที่ทำหน้าที่ปราบปรามยาเสพติดนั้น
ตลอดเวลา 3 ปีที่ครูจิตราได้รับผิดชอบโครงการพัฒนาชุมชนคลองเตยนั้น ครูจิตราได้ต่อสู้อย่างหนักในการที่จะขอให้ภาครัฐใช้มาตรการที่ให้โอกาสและให้อภัยกับผู้เสพยา เพราะยิ่งจะทำให้คนเหล่านั้นหลบหนีหรือต่อต้านการจับกุมนั้นอยู่ต่อไป เพราะหลายคนที่เสพหรือค้ายาเสพติด โดยเฉพาะเยาวชนและเด็ก ๆ นั้น ส่วนใหญ่ถูกล่อลวงจนกระทั่งถูกบังคับให้เสพและค้ายานั้นทั้งสิ้น ครูจิตรากับกรรมการชมรมได้วิ่งเต้นไปหารุ่นพี่ที่เป็นนักกฎหมาย (คณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ ยุคก่อน พ.ศ. 2516 ยังรวมแขนงนิติศาสตร์ไว้อยู่ด้วย ก่อนที่จะแยกตัวออกมาตั้งเป็นคณะนิติศาสตร์ในภายหลัง) ช่วยผลักดันแนวคิดนี้ ซึ่งต่อมาก็มีการปรับนโยบาย ที่แม้จะเน้นการจับกุมผู้เสพและผู้ค้าอยู่ดั่งเดิม แต่ก็ดูว่ามีการ “ผ่อนปรน” กันอยู่บ้าง โดยเฉพาะในคดีของเด็กและเยาวชน
หัวใจของครูจิตรานั้นยึดมั่นอยู่อย่างหนึ่งในชีวิต “คนเราเกิดมามีชีวิตเดียว แต่สามารถมีโอกาสต่าง ๆ ได้หลายครั้ง”