ปากกาขนนก / สกุล บุณยทัต
“...เสมือนหนึ่งว่า...โลกแห่งความเป็นอยู่ในวิถีของความเป็นตัวตนแห่งเรา จะตกอยู่ท่ามกลางวังวนของวิกฤตทางสังคมที่ปลิ้นปล้อน อันส่งผลต่อการเสียดแทงทางจิตวิญญาณของชีวิตให้จมปลักอยู่กับภาวะวิบัติอันเป็นวิกฤตด้านการรับรู้และรู้สึกเสมอ ปฏิกิริยาจากสัญชาตญาณด้านลึกดังกล่าวนี้.. ได้ดำดิ่งลงสู่แก่นรากอันบาดเจ็บและพร่ามัวดั่งนั้น ทั้งด้วยความหดหู่และเจ็บแค้นระคนกัน...
แท้ที่จริง...โลก ณ วันนี้แทบจะไม่มีโอกาสโอบกอดใครหรือสิ่งใดด้วยความรักและเพื่อการเกื้อกูลกันแล้ว...องคาพยพของชีวิตที่ดำเนินไปในทุกส่วนเหมือนถูกปิดกั้น และถูกขัดขาให้สะดุดล้มทางสถานะอย่าง จงใจในผิดบาป...ผู้ที่มีจิตสำนึกอันเปิดกว้างต่อผู้อื่น ล้วนต่างถูกกระชากรากถูไปตามรอยทางอัปยศ...เขม่นมองและป้ายสีพวกเขาว่าเป็นใครและใครที่ชั่วร้าย...อ้อมกอดอบอุ่นเปลือยค้างไว้... หลายๆขณะมันแน่นิ่งอยู่กับซากศพของความเปล่าดายที่ไร้ราคา..เบื้องหลังบริบทของโลกแห่งสังคมเช่นเราเป็นอย่างนี้....แน่นิ่ง และตายสนิทจากลมหายใจของความหวังไป..เนิ่นนานแล้ว..”
ผมสัมผัสรสชาติอันแปร่งปร่าแต่กลับเปี่ยมท้นไปด้วยพลังอารมณ์ของความวาดหวัง จากรวมกวีนิพนธ์แห่งสาระจากกวีสาว”ปาลิตา ผลประดับเพ็ชร์”ในนามของ “จนกว่าโลกจะโอบกอดเราไว้”(Until We Lie in the World’s embrace”)...กวีนิพนธ์ที่เปรียบดั่งบทสนทนาแห่งชีวิต...ที่เหลื่อมซ้อนชีวิต...
“เราจักสนทนา-ค่าฟ้าหนาว เล่านิยายยืดยาวอยู่ที่นี่ บันทึกชีวิตบางบทเป็นบทกวี พรุ่งนี้จักเล่าให้โลกฟัง”
ผมถือเอารวมกวีนิพนธ์ชุดนี้เป็นความคิดในเชิงประจักษ์ที่นับเนื่องเป็นกองทัพแห่งความหวัง และพลังสำนึกในการดำรงอยู่ของความถูกต้อง...เป็นกองทัพแห่ง”สำนึกตระหนัก”ที่ออกเดินทางไกลเพื่อจะป่าวประกาศจิตสูงสุดภายในให้แก่ผู้เหลียวแลโลกด้วยหัวใจของคุณธรรม
“เราต่างร่วมเดินทางระหว่างชีวิต/นั่นรอยแผลหนึ่งนิดยังติดอยู่/ค้างเหลือจากเมื่อไหร่ ไม่อาจรู้/ล้วนร่องรอยการต่อสู้ฤดูกาล/...อาจเป็นหนามไหน่ ไม่นานนัก/จากกุหลาบน่ารักสวนหลังบ้าน/รอยถูลู่ถูกัง-จักรยาน/ทุกดงหนามเคยผ่านข้ามไม่หวั่นเลย/...ไม่หวั่นอันตรายอะไรทั้งสิ้น/บ้าบิ่นเกินไป หัวใจเอ๋ย/ครั้งหัวใจยังเยาว์,เราเยาะเย้ย/ต่อโพยภัยทั้งเปิดเผย-ไม่เผยพราง/เธอยิ้มแล้วใช่ไหม,ใช่...เธอยิ้ม/คงหัวใจเต็มอิ่ม เต็มที่ว่าง/ความทรงจำแออัด ค่อยจัดวาง/เพื่อหัวใจอ้างว้างไม่วังเวง/...ค่อยทบทวนนาทีที่พ้นไป/ไม่เฆี่ยนตีหัวใจ ไม่เร้าเร่ง/ทุกสิ่งมีฤดูกาลของมันเอง/ครื้นเครง-คับแค้น แสนสามัญ”
ทุกสิ่งมีฤดูกาลของมันเอง...เช่นเดียวกับว่าชีวิตของเราในการเคลื่อนขยายไปข้างหน้าก็เปรียบดั่งผู้พเนจร ที่จักต้องเผชิญกับชะตากรรมในหลากหลายมิติ...ซัดเซเร่ร่อนไม่รู้จบ...แต่นั่นคือปฐมบทแห่งการปลูกสร้างนัยแห่งการเคี่ยวกรำชีวิต...กระทั่งบังเกิด...ดวงใจที่ไม่ด่วนดับไปจากจังหวะร่วมแห่งการเป็นตัวตน...
“เราต่างคือผู้พเนจร/ซัดเซเร่ร่อนไม่รู้จบ/ชะตากรรมเคี่ยวกรำกี่ค่ำพลบ/กี่รอยเท้าเลือนลบในลี้ลับ/...ก็ยังคงย่ำย่างอยู่อย่างนี้/ตราบที่ดวงใจไม่ด่วนดับ/เพื่อจะมีรอยเท้าเราประทับ/ที่พึงนับว่าเป็นเท้าของเราเอง/...ก็ยังคงย่ำย่างอยู่อย่างนี้/ในวิถีเชื่องช้าและเร้าเร่ง/ตามจังหวะชีวิตจะบรรเลง/อาจเคว้ง ...อาจคว้าง ยังย่ำเดิน/”
หากทอดตาทอดใจออกไปเบื้องหน้า ผัสสะของชีวิตก็จะคอยรับสารแห่งการมีชีวิตอยู่อันไม่เท่าเทียมในสังคม...ใครเรียกร้องสิทธิ์เพื่อความยุติธรรมในสังคมของเราในยามนี้..มักจะโดนความอยุติธรรมโบยตีเจตจำนงอันบริสุทธิ์นั้นจนล้มคว่ำ..นี่คือสภาพการณ์ที่แสนจะเยียบเย็น...แต่ส่วนใหญ่กลับเคยชินและพร้อมรับที่จะกลับกลายเป็นเชลย...ผู้ต่ำค่าต่ำศักดิ์ศรี..
“เรายืนนิ่งอยู่นานแล้ว..เธอก็รู้/ทั้งหดหู่แคบคับกลับเพิกเฉย/จิตวิญญาณสมัครใจเป็นเชลย/ความเงียบงำ-สังเวยจนเคยชิน/...เธอเห็นไหม?ใครล้าจนเกินลุก/นั่นใครสุขเกินสุขมิสุดสิ้น/ฟังสิ เสียงโหยร่ำนำตาริน/หรือเธอยินแต่เสียงเยาะอันเยียบเย็น/เราจะอยู่อย่างนี้จริงๆหรือ/บอดบื้อบ้าใบ้ไม่รู้เห็น/ไม่อาทรร้อนใจใครตายเป็น/ไม่อาลัยใครลำเค็ญกับอธรรม/สมาทานว่า “เงียบงัน”คือ”สันติ”/ใครริเรียกร้องต้องล้มคว่ำ/แหละร่วมสถาปนาวาทกรรม/ไม่เดียงสาว่าชูค้ำประเทศใคร/”
“ปาลิตา”...ถอดรื้ออารมณ์อันส่ายซัดของเธอออกมา ค่อยๆเสียบแทงสู่ความจริงลวงอันคลาคล่ำสังคมแห่งรัฐ..รัฐที่เธอรู้สึกถึงความแปลกแยกและไม่เป็นเอกภาพ...สถานะอันเอาแต่อ้าปากรับผลประโยชน์ จากสังคมที่ลอยเคว้งกลับข้าง...กับทฤษฎีแห่งรากฐานของความดีงาม...บทเปรียบเทียบในกวีนิพนธ์ “มิได้อุทธรณ์”บทนี้..แม้จะฟังดูเจ็บแค้น...แต่ก็รู้สึกได้ถึงการก่นด่าปลายยอดสุดของสังคมนั้นอย่างหาญกล้าและไม่ขลาดกลัวต่อสิ่งไหนหรือพิษภัยใดๆ..
“ฟ้าเอย ฟ้าไกลของใครบ้าง/เธอเลือกนักเดินทางอยู่บ้างไหม/เมฆครามงามสม-สมบัติใคร/หรือต้องมีตั๋วใดในสัญจร/...แผ่นดินเอย มีเจ้าของครองหรือเปล่า/หรือเธอเลือกบางเท้าให้ก้าวก่อน/ตีนแดงเดินได้ทุกดงดอน/ตีนแตกแยกล่อนรอก่อน รอ/...ตะวันเอย เธอก็เอียงกระเท่เร่/หักเหแสงส่องบางห้องหอ/ฉาบฉายเพียงไม้งามที่งามพอ/หญ้าหยามมิทาบทอให้เทียมทัด/...อากาศเอย เป็นของฉันเพียงชั้นล่าง/เขาแบ่งสรรที่ทางต่างปฏิบัติ /โอโซน แบ่งโซนอย่างแจ่มชัด/ทุกตารางเขารังวัดไว้ให้แล้ว/ ไร้ฐานะศักดินามาทางฝั่งนี้ ไม่มี สี เส้นสายไปท้ายแถว/ลูกตามีหลานยายมาอย่าล้ำแนว/เป็นกรวดทรายอย่าเกลือกแก้วให้กลืนกลาย/”
จาก”ทัศนะกวี”ข้างต้น...มันคือการยืนยันถึงจิตด้านในของผู้เป็นกวีอย่างแม่นตรง...ถ้อยคำแห่งความรู้สึกภายในน้ำคำแห่งบทกวีของเธอ...คือบทเพลงที่มีท่วงทำนองของการรุกเร้า...ที่โถมเข้าใส่สิ่งอันไม่บังควร สิ่งที่ทำให้โครงสร้างแห่งมวลกระดูกของจิตวิญญาณชีวิตต้องสะทกสะท้อน..สายตาที่เพ่งมองความจริงกับภาษาถ้อยคำที่ถั่งท้นคำวิพากษ์ออกมา..ล้วนแต่ไร้กรุณาต่อคู่ตรงข้าม และ ล้วนแต่เลี่ยงหนีจากมายาคติแห่งความคิดหรืออุดมการณ์จอมปลอม... มันคือพายุสำนึกแห่งการไม่สยบยอม...ที่หาญกล้า..
“ทรัพยากรใดๆของใครหรือ/ศูนย์กลางยึดถือและจัดตั้ง/คำว่า”รัฐ”อันศักดิ์สิทธิ์เป็นฉากบัง/ผลักใครใครไว้ข้างหลังให้คลั่งแค้น/ฉันถูกซัดมาสุดขอบแล้วตรงนี้/นอกพื้นที่สิทธิ์สงวนเขาหวงแหน/ถูกเหวี่ยงหวือกรีดออกนอกแก่นแกน/เขาปักปันเขตแดนความเป็นคน/ ...ไรถ้าฟ้าจะกีดกั้น/มิไรถ้าตะวันมิยักสน/มิว่าดอกถ้าแผ่นดินรับสินบน/และอากาศยังแบ่งชนให้เชยชิด/..มิได้อุทธรณ์วอนขอขยับขั้น/มิได้ขอแบ่งปันอภิสิทธิ์/มิฟูมฟายตะกายเกลือกมิเลือกทิศ/เพียงสักนิดเรียกขานตน”คน”เหมือนกัน...”/
ว่ากันว่า..ณ ขณะนี้ บทวิพากษ์ต่อบริบทของครอบครัวและวงการศึกษาของสังคมประเทศ ที่เหมือนจะดำเนินไปข้างหน้าด้วยสัญญาณของความเป็นปัจเจกที่ทั้งคดโค้งและบิดเบี้ยว ค่านิยมอันจอมปลอมและขาดดุลยภาพต่อจิตวิญญาณของการดำรงอยู่...กำลังทวีความรุนแรงบ้าคลั่งในภาวะหลงจริต...ไม่มีสิ่งใดสามารถโอบประคองสิ่งใดเอาไว้อย่างมั่นคงและยึดมั่น...จะมีก็แต่ รอยแผลเป็นที่ทิ้งค้างไว้กับจิตวิญญาณแห่งการเติบโตของกายร่าง ที่ตกอยู่ในสภาพที่แคระแกร็นและเหลือวิสัยที่จะฟื้นฟูเพื่อให้สามารถก้าวย่างไปสู่..ความเกริกไกรของพรุ่งนี้...นี่จึงคือตัวอย่างเนื้อหาแห่งความเป็นชีวิตอนาคตที่สุดจะบิดเบี้ยว..ที่กวีได้แสดงเอาไว้อย่างตั้งใจ..
“พ่อจะซื้อคอร์สให้-คอร์สเทรดหุ้น/เพื่อเรียนรู้การลงทุนแห่งยุคสมัย/สกุลเงินดิจิตอล ลงทุนไว้/พ่อจะเปิดให้สองสามบัญชี/...เทคนิคกราฟ-ศึกษาจังหวะซื้อ/อ่านหนังสือ,นักเทรดมหาเศรษฐี/แนวโน้มราคา ศึกษาดี/เตรียมพร้อม เพื่อ “พรุ่งนี้”นะลูกรัก/คอร์สภาษาจีนกลางน่าสนใจ/ทันโลกยุคใหม่ น่าสมัคร/ภาษารัสเซียเรียนไว้ไม่ยากนัก/ภาษาหลักรู้จักไว้ไม่อับจน/...ลูกพ่อจะเลิศล้ำความสามารถ/เพิ่มโอกาสการแข่งขันอันเข้มข้น/ลงสู้ทุกสนามไม่จำนน/แค่บางคน-โลกโอบรับ สำหรับ “พรุ่งนี้”/พ่อจ้างเทรนเนอร์คอยแนะนำ/เคี่ยวกรำน้ำหนักให้เข้าที่/โภชนาการอาหารคลีน ต้องกินดี/คอร์สฟิตเนสรายปีสมัครไว้/เข้มงวดกับรูปร่างเพื่อรูปลักษณ์/เพื่อรู้จักอนาคตอันสดใส/เพราะโลกเราจะโอบรับแค่ บางใคร/เพื่อ “พรุ่งนี้”จงเตรียมใจในวันนี้..”
ที่สุดแล้ว...เราก็ต้องยอมรับกันให้ได้ว่า..แม้มายาคติจะลากจูงหรือเหวี่ยงซัดเราไปทางไหนสักเพียงใด หรือวิถีแห่งความเป็นสัจจะในความเป็นจริง จะขึงพรืดเราเอาไว้กับคุณค่าใดก็ตาม..เราต่างจำเป็นที่จะต้องได้รับการโอบกอดจากสิ่งที่ดีงามเอาไว้...มันคือ”เครื่องหมายแห่งความหมาย”ในการช่วยฟื้นตื่นชีวิต.. “แค่การโอบกอด”ไว้ก็พอ...
“โปรดอย่าส่งสายตามาอย่างนั้น เวทนาเต็มขั้น,ฉันไม่ใช่ วัตถุแห่งบุญ หว่านทุนใด แค่โอบกอดฉันไว้ก็พอแล้ว”
“ปาลิตา”ก้าวเข้ามาสู่วงวรรณกรรมไทยในฐานะกวีได้ไม่นานนัก..แต่กวีนิพนธ์ของเธอก็ได้สร้างชื่อให้กับชีวิตมากมาย ด้วยผลงานที่ผูกความร้อยรัดให้เข้ากับความเป็นชีวิตอย่างแม่นตรงแลเป็นความหมาย.. เป็นบทสะท้อนแห่งบทสะท้อนของสภาพการณ์แห่งชีวิตอันติดขัดและโดนกักขังอยู่ในคอกขังแห่งปัญญาอย่างคว่ำจม..บทกวีเชิงวิพากษ์ที่ประกอบสร้างขึ้นด้วยแก่นสารทางการเมืองและสังคมโดยส่วนใหญ่ คือเงาสะท้อนแห่งจิตวิญญาณของเธอในภาวะรับรู้แห่งรู้สึก...เป็น”ศิลปะแห่งความรู้สึก”ที่รู้สึกและหยั่งเห็นได้ถึงกลิ่นอายอันเป็นตัวตนนั้น... ซึ่งถูกจัดวางไว้อย่างพิถีพิถันเคียงข้างถ้อยคำ แห่งถ้อยคำ..ซ้อนสลับกับลีลากวีที่มีจังหวะรู้สึกโยงใยถึงกัน...ทั้งที่เปิดเปลือยและเร้นซ่อนอย่างแยบยล...
“ชีวิตเอยชีวิต/ทยอยปลิดเปล่าร้าง วันยังค่ำ/ใครหนอจัดฉากฆาตกรรม/เขียนบทโศกซ้ำๆ น้ำมือใคร/ใครหนอจัดฉากนาฏกรรม/ฉากซ้ำ-ซากศพ จบ(ไม่)บริบูรณ์”
เหนือผัสสะแห่งการรับรู้ของกวี...ผมเชื่อว่าอุบัติการณ์ของกวีนิพนธ์ที่มีค่าในแต่บท ในแต่ละช่วงตอนนั้นคือนิยามของการโอบประคองชีวิต...ทั้งในเวิ้งขณะแห่งความมีอยู่ในตัวตนของตน หรือในทุกๆขณะแห่งสัมพันธภาพของสรรพสิ่งที่อยู่รอบข้าง..เป็นทั้งความจริงและความฝัน...เป็นสัญญะที่บริสุทธิ์ของทุกความฝันและความจริง... “เพียงหยั่งเห็นถึงสิ่งนี้ตัวตนของคุณจะเป็นกวี..”.และทุกๆองคาพยพแห่งตัวตนของคุณก็จะเป็นความหมายแห่งการโอบกอดของ... “ความเป็นนิรันดร์”
“ ขอตื่นหลับกับอ้อมอกที่โอบเอื้อ สัมผัสอุ่นแห่งเลือดเนื้อ จะเชื่อมั่น จะอยู่ในอ้อมกอด อันเป็นนิรันดร์ เถิด,โอบรับทุกความฝัน...ทุกความจริง”