วันที่ 20 เม.ย.65 นายกิตติศักดิ์ นิลวัฒนโฒชัย ผู้สมัครนายกเมืองพัทยา เบอร์ 3 คณะก้าวหน้า พร้อมทีมผู้สมัครสมาชิกสภาเมืองพัทยา (สม.) เดินทางไปยังเกาะล้านเพื่อพบปะพี่น้องประชาชนในการรณรงค์หาเสียงศึกเลือกตั้งนายกเมืองพัทยา และสำรวจสภาพปัญหาในพื้นที่เกาะล้าน ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่าพื้นที่เขต 3 หรือเกาะล้านนั้น มีปัญหาหาในเรื่องน้ำประปาราคาแพงและปัญหาการจัดการขยะที่ใช้งบประมาณมหาศาล แต่ไม่สามารถจัดการขยะได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นายกิตติศักดิ์ กล่าวว่า น้ำคือปัจจัยพื้นฐานในการดำรงชีวิต ซึ่งการเข้าถึงน้ำประปาได้ในราคาที่สมเหตุสมผล ควรเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนทุกคน ซึ่งพื้นที่เกาะล้านมีอัตรากำลังการผลิตน้ำประปาที่ไม่เพียงพอต่อกับความต้องการ รวมถึงบ่อน้ำดิบที่ไม่ได้รับการซ่อมแซมฟื้นฟู ส่งผลให้บางหลังคาเรือนยังเข้าไม่ถึงน้ำประปา และต้องจ่ายค่าน้ำในราคาที่แพง ชาวบ้านบางรายจึงต้องรองน้ำฝนเก็บไว้เพื่อใช้ในครัวเรือน สิ่งต่างๆเหล่านี้คือคุณภาพชีวิตของผู้คนบนเกาะล้าน เมืองพัทยาต้องเร่งเข้าบริหารจัดการเพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงน้ำประปาในราคาที่สมเหตุสมผล และเตรียมความพร้อมสำหรับเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยว
"น้ำประปาบนเกาะล้านมีราคาที่แพงกว่ายูนิตละ 70 บาท ซึ่งเป็นราคาที่แพงกว่าปกติทั่วไป 10 เท่า เมืองพัทยามีหน้าที่จัดสรรทรัพยากรให้ประชาชนเข้าถึงน้ำประปาได้อย่างเท่าเทียม ซึ่งวันนี้ผมขอดูใบเสร็จค่าน้ำของชาวบ้าน พบว่าค่าน้ำมากกว่า 2,000 บาททุกหลัง นี่คือความเจ็บปวดของพี่น้องบนเกาะล้านที่ได้รับ เมืองพัทยาต้องเร่งแก้ปัญหานี้โดยเร็วที่สุด"
นายกิตติศักดิ์ กล่าวต่อว่า อีกหนึ่งปัญหาที่สะสมมานานของเกาะล้านคือการจัดการขยะ ก่อนหน้านี้เกาะล้านมีขยะเกิดขึ้น 40 ตัน ต่อวัน แต่ในช่วงโควิดเหลือขยะประมาณ 15-20 ตัน ต่อวัน เดิมทีการกำจัดขยะของเกาะล้าน คือการขนขยะลงเรือไปรวมกับขยะของเมืองพัทยาที่ แต่เมื่อมีกฎหมายห้ามขนขยะข้ามเขต จึงเปลี่ยนวิธีการกำจัดขยะเป็นวิธีการฝังกลบ โดยในอนาคตจะมีแผนในการจัดการขยะด้วยการเผาทำลาย ในราคา 1,900 บาทต่อตัน ซึ่งตนคิดว่าวิธีการเช่นนี้เป็นวิธีการจัดการขยะที่ไม่ถูกต้อง เป็นการใช้งบประมาณอย่างไม่สมเหตุสมผลและไม่สามารถแก้ปัญหาขยะได้อย่างมีประสิทธิภาพ
"ปัญหาการจัดการขยะเราต้องย้อนกลับไปที่ต้นทาง ถ้าเรารณรงค์ในการคัดแยกขยะ หรือนโยบายการลดขยะด้วยมาตรการทางภาษี เพื่อที่สามารถนำขยะรีไซเคิลไปใช้ประโยชน์ต่อได้ ผมคิดว่าจะสามารถลดปริมาณขยะ ทำให้ขยะไปถึงบ่อฝังกลบในปริมาณที่น้อยลงอย่างแน่นอน หากทุกภาคส่วนร่วมมือกันแก้ไขกันอย่างจริงจังและเข้มงวด ในส่วนของการจัดการขยะด้วยวิธีการเผาทำลายทั้งหมดนั้น เป็นการลงทุนที่สิ้นเปลือง เพราะหากไปดูจริงๆ ขยะที่ต้องเผาทำลายนั้นมีอยู่เพียง 5% เท่านั้น คือขยะห้องน้ำ ซึ่งผมมั่นใจว่าหากเราจัดการขยะแบบใหม่ให้ถูกวิธี จะสามารถเพิ่มประสิทธิภาพ ลดค่าใช้จ่าย และเราจะสามารถลดปริมาณขยะที่ต้องนำไปฝังกลบได้ถึง 70% นั่นคือเป้าหมายของพวกเราหากไ้ด้มีโอกาสเข้าบริหารเมืองพัทยา"