หมายเหตุ: ศาสตราจารย์ ดร.ไชยันต์ ไชยพร อาจารย์ประจำภาควิชาการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้สัมภาษณ์พิเศษ “สยามรัฐสัปดาหวิจารณ์ ” เจาะลึกถึงโอกาส ความได้เปรียบ เสียเปรียบทางการเมือง ในสนามเลือกตั้งรอบหน้า เมื่อรูปแบบกติกาการเลือกตั้ง ใช้แบบ “บัตร 2ใบ” จะเกิดปรากฎการณ์ทางการเมืองที่น่าสนใจจากนี้หรือไม่ -กติกาใหม่ บัตรเลือกตั้ง 2 ใบแต่คนละเบอร์ "ใคร" ได้เปรียบ เสียเปรียบบ้าง ระบบการเลือกตั้งเดิมที่ใช้ในปี 2562 เป็นระบบบัตรเลือกตั้งใบเดียว และกาได้ช่องเดียว เป็นการกำหนดให้ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งออกเสียงเลือกตั้งได้เสียงเดียว แต่คะแนนไม่ทิ้งน้ำโดยเสียงเดียวมีผลในการเลือกทั้งผู้สมัครในเขตเลือกตั้ง ผู้สมัครระบบบัญชีรายชื่อพรรค และผู้ที่พรรคเสนอชื่อให้เป็นนายกรัฐมนตรีในเวลาเดียวกัน นั่นคือ โฟร์ อิน วัน (Four in One) คือ จรดปากกกา กากบาท ช่องเดียว ได้ทั้ง 1. ส.ส. เขต 2. ส.ส. บัญชีรายชื่อ 3. พรรค และ 4. ผู้ที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีของพรรค เป็นระบบเลือกตั้งที่ “คะแนนไม่ทิ้งน้ำ” เพราะคะแนนเสียงที่ผู้สมัครได้ แต่ไม่ชนะในเขตเลือกตั้ง จะถูกนำมานับและคิดคำนวณสำหรับจำนวนที่ผู้สมัครรับเลือกตั้งในระบบบัญชีรายชื่อของพรรคจะได้เป็น ส.ส.ระบบเลือกตั้ง แต่โฟร์ อิน วัน มีข้อเสียคือ ถ้าประชาชนเกิดชอบพรรค แต่ไม่ชอบผู้ที่พรรคส่งมาลงสมัครในเขต ก็จะต้องชั่งน้ำหนักระหว่าง ความชอบพรรค กับ ความไม่ชอบผู้สมัครคนนั้น ว่าอันไหนมันมีน้ำหนักมากกว่ากัน ถ้าคิดว่า รักพรรคมากจนสามารถกล้ำกลืนเลือกผู้สมัครที่ไม่ชอบได้ เพื่อให้พรรคได้มีเสียงในสภา ก็ว่าไป หรือถ้าทนผู้สมัครคนนั้นไม่ได้จริงๆ จนต้องจำใจไปเลือกผู้สมัครของพรรคอื่น หรือกาช่องไม่ประสงค์จะลงคะแนน พรรคที่รักของตนก็จะอดได้คะแนนของเราไปด้วย ซึ่งความจำเป็นและจำใจต้องชั่งน้ำหนักนี้ ไม่ได้มีแต่เฉพาะการชั่งระหว่าง การรังเกียจผู้สมัครเขต กับ ความชื่นชอบพรรค แต่รวมถึงการชั่งน้ำหนักกับผู้สมัครบัญชีรายชื่อโดยรวม และตัวคนที่พรรคส่งชื่อให้เป็นนายกรัฐมนตรีด้วย อาการจำใจกากากบาทเลือกภายใต้ระบบ โฟร์ อิน วัน นี้น่าจะเกิดขึ้นกับประชาชนชาวไทยไม่น้อยในการเลือกตั้งทั่วไปปี 2562 หลายคนชอบลุงตู่ แต่ไม่ชอบพรรคที่เสนอชื่อลุงตู่เลย ในที่สุดคนจำนวนหนึ่งก็ต้องกล้ำกลืนเลือกผู้สมัครเพื่อให้คะแนนตกไปถึงท้องลุงตู่ด้วย แต่มีหลายๆคนที่ได้อานิสงส์จากคะแนนนิยมลุงตู่เข้าไปนั่งเป็น ส.ส. ในสภา หรือบางคนชอบลุงตู่มาก แต่ก็เป็นแฟนประชาธิปัตย์มายาวนาน พอคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคตอนนั้นประกาศชัดเจนว่า ไม่สนับสนุนลุงตู่เป็นนายกรัฐมนตรี แฟนคลับจำนวนหนึ่งก็ต้องชั่งน้ำหนักระหว่าง กากากบาทให้ผู้สมัครพรรคพลังประชารัฐ (คะแนนส่งอานิสงส์ไปยังผู้สมัครบัญชีรายชื่อด้วย) เพื่อจะได้ให้คะแนนไปถึงลุงตู่ กับ การยังเหนียวแน่นกับประชาธิปัตย์ ผลปรากฏว่า ผู้สมัคร ส.ส. เขตพรรคประชาธิปัตย์หลายคนต้องสอบตกไป ว่าไปแล้ว ระบบโฟร์ อิน วัน เป็นระบบที่มีข้อเสียสำหรับคนที่ชอบปันใจ ยังไม่มีอุดมการณ์ที่ชัดเจนแน่วแน่ และก็อาจจะเป็นเพราะพรรคการเมืองบ้านเราก็ยังไม่มีอุดมการณ์ที่ชัดเจนแน่วแน่ด้วย ดังนั้น ระบบ โฟร์ อิน วัน จะดีสำหรับคนที่แน่วแน่กับพรรคการเมือง คือ ชอบพรรคจริง เพราะพรรคมีอุดมการณ์ มีระบบการทำงานที่มีประสิทธิภาพ จะส่งใครลงสมัคร ส.ส. เขต หรือ ระบบบัญชีรายชื่อ หรือเป็นนายกรัฐมนตรี พรรคก็ยังมีการทำงานที่แน่วแน่ตามอุดมการณ์ คนที่แน่วแน่ก็จะแฮปปี้กับระบบ โฟร์ อิน วัน ส่วนระบบบัตร 2 ใบ ส.ส. หนึ่งคนต่อหนึ่งเขต และ มี ส.ส. บัญชีรายชื่อ พรัอมกับตัวเลือกนายกรัฐมนตรีนั้น จริงๆแล้ว ที่ผ่านมา พฤติกรรมการเลือกตั้งของประชาชนเริ่มจะมีความเคยชินกับการเลือกพรรคแล้ว อย่างบัตร 2 ใบ ในสถานการณ์ปกติหากประชาชนคนไหนเลือกผู้สมัคร ส.ส.เขตเพื่อไทย แล้วก็เลือกพรรคเพื่อไทยในบัตรบัญชีรายชื่อ เช่นเดียวกับคนที่เลือก ส.ส.เขตประชาธิปัตย์ อีกใบก็จะกาเลือกประชาธิปัตย์เช่นกัน โดยพบว่าจะมีคนกลุ่มหนึ่งมีพฤติกรรมการเลือกตั้งแบบนี้ แต่พบว่าหลังรัฐประหาร คสช. และมีการเลือกตั้งใหญ่ปี 2562 ได้เกิดสภาวะสองจิตสองใจขึ้นมา เช่น ที่เห็นชัดอย่างภาคใต้ คนก็รักประชาธิปัตย์แต่เขาก็รักลุงตู่ด้วย แต่เมื่อบัตรเลือกตั้งมีใบเดียวก็ทำให้คนต้องตัดสินใจ ไม่เลือกพลังประชารัฐก็ต้องเลือกประชาธิปัตย์ เลยทำให้เก้าอี้ ส.ส.เขตในภาคใต้ของประชาธิปัตย์หายไป การที่ประชาธิปัตย์อ้างเหตุผลในการสนับสนุนบัตร 2 ใบว่าเป็นการให้เสรีภาพประชาชนในการเลือกตั้ง แต่จริงๆ แล้วในทางปฏิบัติ เขาก็รู้ว่าตราบใดที่พลังประชารัฐยังอยู่ และพล.อ.ประยุทธ์ยังลงเลือกตั้งต่อครั้งหน้า เขาก็รู้ว่าคนภาคใต้ก็ยังผูกพันกับลุงตู่อยู่ แต่ประชาธิปัตย์ก็ไม่มีปัญหา เพราะว่าเขาก็รู้ว่าคนใต้จะเลือก ส.ส.เขตประชาธิปัตย์ แต่บัตรบัญชีรายชื่อก็จะเลือกลุงตู่ ประชาธิปัตย์ก็ยังได้ตรงนี้อยู่ บัตร 2 ใบจึงเป็นยุทธศาสตร์ที่ช่วยให้ประชาธิปัตย์มีคะแนนขึ้นมาพอสมควรมากกว่าตอนเลือกตั้งปี 2562 แต่บัญชีรายชื่อจะหนาวจัด ถ้าคนเลือกเกิดสองใจอย่างที่ว่า ประชาธิปัตย์อาจจะเจอสถานการณ์คล้ายๆเพื่อไทยที่ผ่านมาก็ได้ นั่นคือ ภายใต้บัตรใบเดียว เพื่อไทยได้ ส.ส. เขตมากมาย แต่ไม่ได้บัญชีรายชื่อสักคนเดียว คราวนี้ ประชาธิปัตย์ อาจมี ส.ส. เขตเยอะ แต่ ส.ส. บัญชีรายชื่อน้อย เพราะคนเลือก เลือกแบบสองใจ แต่ก็ไม่แน่ เพราะถ้าคนชั่งน้ำหนักระหว่าง 1 ลุงตู่ กับ 10 ลำดับแรกของผู้สมัครบัญชีรายชื่อประชาธิปัตย์ แล้วพบว่า ไม่คุ้มที่จะเสียคะแนน 1 คะแนนให้ได้แค่คนๆเดียว แต่ให้ 10 คนเข้ามาดีกว่า เพราะลุงไม่ขลังเหมือนแต่ก่อนแล้ว ส่วนแคนดิเดต นายกฯของพรรคประชาธิปัตย์ ก็เดาได้อยู่แล้วว่า จะต้องเป็นชื่อ คุณจุรินทร์ หัวหน้าพรรค แต่จะใส่ชื่อ นายหัวชวนและอภิสิทธิ์เข้าไปด้วยให้ครบ 3 เพื่อเรียกคะแนนแม่ยกก็ไม่ทราบ เพราะไม่น่าใช่วิถีของพรรคที่จะเสนอให้ครบ 3 ตามสิทธิ์ เพราะพรรคพยายามจะมีวิถีที่เป็นสากล คือ พรรคจะต้องส่งและสนับสนุนหัวหน้าพรรคให้เป็นนายกฯเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ อภิสิทธิ์จึงทำถูกต้องแล้ว ที่ยืนยันตอนนั้นว่า พรรคจะไม่สนับสนุนลุงตู่เป็นนายกฯ เพราะประชาธิปัตย์ไม่ใช่พรรคเล็กหน้าใหม่ ถ้าประกาศสนับสนุนตั้งแต่ยังไม่หย่อนบัตร ก็เสียหลักการ เสียชื่อชั้นประชาธิปัตย์หมด คนในอนาคตหันมามองจะตัดสินใจได้ว่า ใครถูกใครผิด สำหรับ พรรคเพื่อไทย แน่นอนว่าบัตรสองใบ แฟนพันธุ์แท้เพื่อไทยย่อมเลือกเพื่อไทยทั้งบัตรเขตและบัตรบัญชีรายชื่ออยู่แล้ว ไม่มีอาการสองใจ จริงๆ บัตรใบเดียวเพื่อไทยก็ไม่ได้มีปัญหา เพียงแต่ว่าหากใช้บัตรใบเดียวต่ออีกจะทำให้เพื่อไทยไม่ได้ ส.ส.บัญชีรายชื่อ หากได้ ส.ส.เขตเต็มจำนวน ส.ส.พึงมีในสภา บัตรสองใบจึงทำให้เพื่อไทยยังไงก็ได้ ส.ส.มาอันดับต้นๆ เพียงแต่จะได้มากขนาดไหน ยิ่งมี “อุ๊งอิ๊ง” แพทองธาร ชินวัตร เข้ามาเสริมทัพ ให้แฟนพันธุ์แท้สบายใจและมั่นใจได้ว่า พรรคเพื่อไทยนั้นยังรัก “ไม่มีเปลี่ยนแปลง” แต่จะรักอะไร หรือ รักใคร นั้น คงต้องไปถามคนของพรรคเอาเอง “บัตรสองใบเพื่อไทยจึงแฮปปี้ที่สุด ประชาธิปัตย์ก็แฮปปี้ เพียงแต่มันน่าสงสัยว่า ทำไมพลังประชารัฐถึงยอมเอาด้วยกับบัตรสองใบ ซึ่งพลังประชารัฐก็อาจยังไม่รู้ว่า ลุงตู่ จะลงต่อหรือไม่สมัยหน้า รวมถึง ส.ส.พลังประชารัฐเองก็ยังไม่รู้ว่าพลังประชารัฐรอบหน้าจะอยู่เป็นพรรคแบบนี้ต่อไปอีกหรือไม่ “ นี่ขนาดยังไม่ยุบสภา ยังมีแตกตัวออกไปแล้ว แต่ที่แน่นอนคือ บัตรสองใบทำให้พรรคก้าวไกลลำบาก และเพื่อไทยก็แฮปปี้ ถ้าก้าวไกลลำบาก เพราะสองพรรคนี้แย่งฐานเสียงกลุ่มเดียวกัน เพราะคนกลุ่มหนึ่งที่เคยเลือกเพื่อไทยอาจไปเลือกก้าวไกลได้ หรือคนกลุ่มหนึ่งที่เคยเลือกก้าวไกลอาจสลับไปเลือกเพื่อไทยได้เช่นกัน ยิ่งมีอุ๊งอิ๊งมาเสริมทัพ ก็ทำให้คนกลุ่มหนึ่งที่เลือกเพื่อไทย ไม่หวั่นไหว แต่จะแน่วแน่กับเพื่อไทยต่อไป แต่ปัจจัยเสริมทัพอันเดียวนี้แหละที่จะทำให้คนกลุ่มหนึ่งที่เลือกเพื่อไทย หันไปเลือกก้าวไกล หรือในบางพื้นที่ก็หันไปเลือกภูมิใจไทย คนกลุ่มที่ว่านี้ คือ คนที่ยึดในหลักการว่า พรรคการเมืองต้องเป็นพรรค ไม่ใช่บ้านหรือครอบครัวของใคร แต่จะอะไรก็แล้ว ไม่มีทางที่คนเลือกเพื่อไทยและก้าวไกล จะสวิงปันใจในระบบสองใบ ไปเลือกพลังประชารัฐ หรือประชาธิปัตย์ เป็นไปไม่ได้เลย ส่วนภูมิใจไทยนั้น เดิมที ก็ไม่น่าจะแฮปปี้กับบัตรสองใบนัก เขาชอบใบเดียวมากกว่า เพราะหากใช้สองใบอาจเกิดลักษณะเลือกบัญชีรายชื่อเพื่อไทย แต่เลือก ส.ส.เขตเป็นภูมิใจไทย อย่างในภาคอีสาน เช่น คนยังคิดถึงทักษิณ ชินวัตรอยู่ แต่บางจังหวัดภูมิใจไทยก็ดูแลดี คะแนนก็ถูกแบ่งไป เพราะสำหรับภูมิใจไทย อย่างการส่งผู้สมัครปาร์ตี้ลิสต์ เอาแค่ 10-20 คนแรกจาก 100 ชื่อผู้สมัคร ที่ต้องหาคนมาใส่ให้ดูดี ภูมิใจไทยหาไม่ได้ แต่พรรคเพื่อไทยยังพอหาได้ ดังนั้น ภูมิไจไทยจะต้องหาผู้สมัครบัญชีรายชื่อสวยๆเพื่อดึงดูดคน และให้มั่นใจว่า หากแจ๊คพอตเป็นแกนจัดตั้งรัฐบาล ก็มีคนหลายคนที่มีคุณสมบัติเป็นรัฐมนตรีได้ไม่อาย ขณะเดียวกัน หากดูทรงปัจจุบันของภูมิใจไทยแล้ว บัตรสองใบไม่น่าจะเป็นปัญหามากนัก เพราะมีคนไหลเข้าพรรคอยู่เรื่อยๆ และไม่มีเรื่องกับใคร อีกทั้งก็ไม่ได้ใจร้อนเหมือนเสือหิวตามปีเสือ นักการเมืองส่วนหนึ่งอยากจะหนีเสือเพื่อไปหาจระเข้ด้วยซ้ำ และโดยธรรมชาติ ส่วนใหญ่ จระเข้จะนิ่งๆรอให้เหยื่อเข้ามามากกว่า และเชื่อว่า นโยบายของพรรคก็คือนโยบายของจระเข้นอนแช่น้ำ ร้องเพลงรอ เพราะยังไงเสีย วันหนึ่ง คนไทยจะได้เห็นพรรคภูมิใจไทยเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลแน่นอน อย่างที่กล่าวไป สำหรับพรรคก้าวไกลเจ็บหนักพอดูสำหรับสองใบ แต่ก็ไม่กล้าออกตัวโต้มากนัก เพราะเคยด่าระบบใบเดียว และด่ารัฐธรรมนูญทั้งฉบับมาแล้ว ก้าวไกลคราวหน้าจะไม่มีไทยรักษาชาติเทให้ แถมยังไม่มีตัวเด่นๆ เป็นหัวหน้าพรรคแบบ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หรือคนดังแบบ ปิยบุตร แสงกนกกุล อีกทั้งคนก็รู้ว่าไม่มีทางเป็นรัฐบาล เพราะไม่ว่าฟากไหนก็ไม่คิดจะจูบปากกับพรรคก้าวไกลถ้าไม่จำเป็น คราวที่แล้วสมัยเป็นพรรคอนาคตใหม่ได้มา 7 ล้านคะแนน แต่ทุกวันนี้คนส่วนใหญ่ยังไม่ประทับใจกับ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคเท่าธนาธรและ ปิยบุตร ดังนั้นพรรคก้าวไกลคราวหน้า ก็ยากที่จะรักษา 7 ล้านไว้ได้ เสียงจะตกลงไปมาก เพราะข้อกล่าวหาเรื่องสถาบันและการใช้เด็ก คะแนนบัญชีรายชื่อคราวนี้จะทิ้งหรือไม่ทิ้งน้ำนั้นก็ต้องรอดูสูตรคำนวน แต่ก็ต้องไปยื้อแย่งใน 100 ที่นั่ง ในขณะที่คราวที่แล้ว 150ที่นั่ง ที่สำคัญที่สุดสำหรับก้าวไกลคือ ใครจะจ่ายเงิน เพราะประกาศตัวเองว่าไม่เอานักการเมืองเก่าๆ จะเสนอแต่เลือดใหม่ เลือดใหม่ใครจะมีเงินอย่างธนาธร ยิ่งสมมติถ้าลุงตู่ไม่เล่นการเมืองแล้ว ก้าวไกลก็ไม่มีเป้าหาเสียงต่อต้านการสืบทอดอำนาจ มองดูแล้ว คนที่จะเลือกพรรคก้าวไกลทั้งระบบเขตและปาร์ตี้ลิสต์ ก็อาจจะเป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่จริงๆ ซึ่งกลุ่มคนอายุ 18-24 ปีในประเทศไทยมีประมาณกี่ล้านคน ก็พบว่ามีไม่เยอะมากเมื่อเทียบคนวัยอื่น คนที่จะเลือกก้าวไกล ต้องเป็นคนที่มีอุดมการณ์จริงๆ ส่วนโอกาสที่พรรคก้าวไกลจะได้ ส.ส.เขตรอบหน้าเข้ามาจำนวนหนึ่งเหมือนตอนเลือกตั้งปี 2562 หรือไม่ ดูแล้วอาจจะยาก เพราะคนที่จะเลือกก้าวไกล พวกกลุ่มคนอายุ 18-24 ปี ถ้ารวมทั้งประเทศเยอะ แต่หากแยกเป็นรายเขตเลือกตั้ง จำนวนก็ยังน้อยกว่าคนที่ไม่ได้อยู่ในอายุกลุ่มดังกล่าว ทำให้ก้าวไกลไม่มีทางจะชนะได้ ส.ส.เขตมากเหมือนปี 2562 ที่ตอนนั้นคนเลือกเพราะธนาธร โดยที่เขาอาจจะไม่ได้รู้จักผู้สมัคร ส.ส.เขตเท่าไร รวมถึงไปตอนนั้นก็ได้คะแนนจากที่ไทยรักษาชาติโดนยุบพรรค แต่ตอนนี้ไม่มีแล้ว ทำให้พรรคก้าวไกลอาจลำบาก ขณะเดียวกัน หากสมมติว่า วิโรจน์ ลักขณาอดิศร ไม่ชนะเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม. แต่ได้คะแนนเสียงมาพอสมควร คนเริ่มรู้จักตัวตนในฐานะผู้อาสาทำงานบริหาร นอกเหนือไปจากรู้จักฝีมือการทำหน้าที่ฝ่ายนิติบัญญัติแล้ว พรรคก้าวไกลอาจจะต้องคิดใหม่ทำใหม่ โดยให้วิโรจน์เป็นหัวหน้าพรรค เพราะคนรู้จักลีลาวิสัยทัศน์มากกว่าพิธา และจะดึงดูดคนให้เลือกพรรคได้มากกว่า ส่วนพรรคอื่นๆคงลำบากมาก โดยเฉพาะหากคนที่ลงระบบเขตของพรรคเหล่านี้เสียงไม่ได้แน่นมากจริง เพราะอย่างกรุงเทพมหานคร สำหรับบางพรรคตั้งใหม่ เช่น พรรคไทยสร้างไทย ของคุณหญิงสุดารัตน์ ก็อาจมีได้บ้างในบางเขตใน กทม. โอกาสที่จะได้ที่นั่งเยอะๆ ดูแล้วน่าจะน้อยมาก ขณะที่พรรคชาติไทยพัฒนาและพรรคชาติพัฒนา สำหรับพรรคขนาดนี้บัตรสองใบย่อมดีกว่าใบเดียว เพราะถ้าเป็นใบเดียวโอกาสจะแพ้เขตสูง แต่ก็จะได้คะแนนเฉลี่ยมาให้หัวหน้าพรรคและบัญชีรายชื่อไม่เกินห้าอันดับได้เข้าไปนั่งในสภา ส่วนการที่พรรคเรียลไซส์เล็กจิ๋ว จะไปหวังเก้าอี้ปาร์ตี้ลิสต์ที่เหลือแค่100 คน ก็ทำให้โอกาสได้ก็ยากอีก การแข่งขันมีมากขึ้น เว้นแต่อาจมีการวาง position การเมืองบางอย่าง เช่น ขอให้เลือกเข้าไปทำงานในสภา จะไปเป็นฝ่ายค้านแบบที่เคยมีคนทำ เช่นตอนสมัย ชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ ทำพรรครักประเทศไทย ที่เคยได้ปาร์ตี้ลิสต์ 4 คน ตอนเลือกตั้งปี 2554 โดยหากเลือกตั้งรอบหน้า ถ้ามีคนที่ประกาศไม่ชอบทั้งพลังประชารัฐ เพื่อไทย ประชาธิปัตย์ แล้วหาเสียงว่าหากอยากได้คนแปลกๆ เข้าไปสักคนก็ให้เลือกเขา โดยมีคนกว่า 3 แสนคนจากทั้งประเทศเลือกบัตรบัญชีรายชื่อ จากผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง 50 ล้านคน มันก็มีโอกาสจะเกิดขึ้นได้ สำหรับพรรคเรียลไซส์เล็กจิ๋ว คงต้องยอมควบรวม รวมกันเราอยู่ พรรคใหญ่ก็ชอบอยู่แล้ว บางคนที่เคยออกจากเพื่อไทยไปตั้งพรรคใหม่ หากจะกลับมาเพื่อไทยก็ต้องให้นายใหญ่เคลียร์ลำดับบัญชีรายชื่อ