ลีลาชีวิต / ทวี สุรฤทธิกุล
การช่วยเหลือผู้อื่นไม่จำเป็นต้องให้ใครร้องขอ เพียงแต่เรารู้สึกว่าถ้าได้ช่วยเขาแล้วก็คือได้ช่วยเราเช่นกัน
ครอบครัวของครูจิตราแม้ว่าจะค่อนข้างยากจน แต่ก็นับว่ามีความสมบูรณ์พูนสุขพอสมควร เพราะมีพ่อแม่คอยดูแลด้วยดี ทั้งยังมีพี่น้องและญาติ ๆ ที่แม้ว่าจะอยู่ห่างไกลกัน แต่ก็ยังไปมาหาสู่กันอย่างสม่ำเสมอ ทั้งในเทศกาลสำคัญ ๆ เช่น สงกรานต์ ฯลฯ และรีบมาเยี่ยมเยียนเสมอเมื่อแต่ละคนเจ็บไข้หรือเดือดร้อน
พ่อของครูจิตราเป็นพนักงานรถไฟ ประจำอยู่ที่สถานีเก็บน้ำมันคลองเตย ที่มีเงินเดือนประจำแม้จะไม่มากแต่เมื่อกระเหม็ดกระแหม่ใช้ก็พออยู่รอดไปได้ในทุกเดือน ในขณะที่แม่แม้จะไม่ได้มีงานประจำ แต่ก็พยายามหารายได้มาเจือจุนครอบครัวเสมอ ทั้งไปรับจ้างทำงานบ้านและเลี้ยงเด็ก กับที่ใช้เวลาว่างเย็บชุนซ่อมแซมเสื้อผ้า รวมถึงพาลูก ๆ 3 คน ช่วยกันพับถุงกระดาษ ไปให้แม่ค้าใส่ของขายในตลาด ก็พอมีเงินไปซื้อของกินของใช้และขนมต่าง ๆ มาเลี้ยงดูทุกคนในบ้านได้บ้าง
ครูจิตราเป็นเด็กขยันชอบเรียนหนังสือและช่วยแม่ทำงานทุกชนิด พอตอนที่จะเรียนชั้นมัธยม คุณหญิงที่บ้านหลังใหญ่แถวกล้วยน้ำไทที่ครูจิตราเคยไปรับจ้างเลี้ยงลูก ๆ เห็นแววว่าเป็นเด็กรักดี ก็ส่งเสริมให้ได้เข้าเรียนที่โรงเรียนสายน้ำผึ้งที่อยู่ไม่ไกลจากบ้านนัก ครูจิตราก็ตั้งใจเรียนด้วยดีไม่ให้เสียชื่อคุณหญิงที่เป็นผู้พาไปฝากฝัง ทั้งยังได้เป็นหัวหน้าห้องในทุกชั้นเรียนตั้งแต่ชั้น ม.ศ. 1 จนถึง ม.ศ. 5 ทั้งยังเป็นคนที่ชอบทำกิจกรรม เป็นสมาชิกชมรมต่าง ๆ และเข้าร่วมกิจกรรมอย่างเข้มแข็งตลอดมา ในขณะเดียวกันก็ตั้งใจเรียนและไม่เคยสอบได้อันดับต่ำกว่าที่ 3 เลยในทั้ง 5 ห้องเรียนของชั้นมัธยมนั้น
ตอน ม.ศ. 4 ครูจิตราได้เป็นประธานชมรมภาษาอังกฤษ เธอจัดการแสดงดนตรีอย่างที่ในสมัยนี้เรียกว่าคอนเสิร์ตเพื่อหาเงินมาทำกิจกรรมของชมรม วงดนตรีที่ทางชมรมไปจัดหามามีชื่อเสียงในระดับกลาง ๆ ที่วัยรุ่นยุคนั้นกำลังคลั่งไคล้ ในวันที่มีการแสดงซึ่งจัดขึ้นในโรงภาพยนตร์ ก็มีนักดนตรีคนหนึ่งเกิดมีปัญหาระหว่างการแสดงกับผู้ชมซึ่งก็คือกลุ่มนักเรียนที่ซื้อบัตรเข้ามาชม แม้ว่าจะไม่ถึงขั้นการแสดงต้องล้มไป แต่ก็ส่งผลต่อคณะกรรมการของชมรม ครูจิตราถูกอาจารย์ใหญ่เรียกไปสอบสวน ทั้งยังถูกภาคทัณฑ์ในฐานะที่เป็นผู้ดูแลการจัดงานทั้งหมด และไม่ให้ทางชมรมจัดงานหารายได้ใด ๆ อีก
นักดนตรีคนที่ก่อเหตุคงจะทราบเรื่องที่เกิดขึ้นจากคณะกรรมการชมรมบางคนที่ไปบอก ก็มาขอโทษครูจิตราแล้วบอกว่า ตัวเขาเองมีปัญหาเรื่องยาเสพติดมาตั้งแต่เป็นเด็ก ด้วยเป็นเด็ก “บ้านแตก” พ่อกับแม่แยกทางกัน เคยเป็นเด็กเร่ร่อนอยู่เกือบปี และได้ถูกพวกแก๊งยาเสพติดบังคับให้ขายผงขาว หรือ “เฮโรอีน” รวมทั้งตัวเองก็ได้ทดลองเสพด้วย จนกระทั่งถูกจับ แต่เนื่องจากอายุยังเป็นเยาวชน จึงถูกส่งไปบำบัดที่สำนักสงฆ์ถ้ำกระบอกที่จังหวัดสระบุรี ซึ่งเขาบอกว่าที่นั่นมีสภาพน่าสมเพชมาก มีเด็กวัยรุ่นจำนวนมากมาเข้ารับการบำบัดเช่นเดียวกันกับเขา บางคนก็ดีขึ้นและได้ออกมาสู่สังคม แต่บางคนก็รักษาไม่ได้เพราะเสพติดอย่างหนัก ก็เสียชีวิตอย่างทุกข์ทรมานที่นั่น
เขาบอกว่าปัญหาที่เกิดขึ้นในวันที่มีการแสดง ที่เขาได้ลงไปชกต่อยกับกลุ่มนักเรียนหน้าเวที ก็เป็นเพราะว่านักเรียนพวกนั้นเรียกเขาว่า “ไอ้ขี้ยา” ซึ่งทำให้เขาเดือดพล่านขึ้นมาทันที และลงไปชกต่อยดังกล่าว ดีที่พอตำรวจเข้ามา ครูจิตราก็เข้ามาคุยกับตำรวจ และบอกว่าเป็นแค่อุบัติเหตุ มีคนทำลูกโป่งที่เอาเข้ามาเชียร์นักร้องนั้นแตก ทำให้มีเสียงดังและเกิดความวุ่นวายขึ้น ไม่ได้มีการทะเละเบาะแว้งหรือชกต่อยกันแต่อย่างใด ทำให้เขาไม่ถูกจับกุม และเหตุการณ์ก็สงบลง ซึ่งเขารู้สึกขอบคุณเป็นอย่างมาก ที่ครูจิตราที่ก็เป็นแค่เยาวชนคนหนึ่ง ยังมีความสามารถที่ได้แก้ไขสถานการณ์อันตึงเครียดนั้นให้เรียบร้อยไปได้
ครูจิตราแอบภูมิใจในคำขอบคุณนั้นอยู่เงียบ ๆ พร้อมกับที่รู้สึกมีความสุขมาก ๆ เพราะคำพูดของนักร้องคนนั้นได้ทำให้ครูจิตรารู้สึกว่า ตัวเธอเป็น “คนมีประโยชน์” สามารถสร้างสิ่งดี ๆ ให้กับผู้คนทั้งหลายได้ ไม่เฉพาะแต่กับนักร้องคนนั้นที่ครูจิตราได้ “ช่วยชีวิต” ไม่ให้ถูกจับกุมและต้องเป็นข่าวจนเสียชื่อเสียง หรืออาจจะต้องหมดอนาคตไปอีกครั้งหนึ่ง แต่ยังได้ช่วยไม่ให้นักเรียนคนอื่น ๆ ที่มาก่อเหตุต้องถูกคดีมีประวัติเสียติดตัวไปด้วย สิ่งนี้ทำให้ครูจิตราเกิดความคิดที่ยิ่งใหญ่ คืออยากจะทำตัวให้เป็นประโยชน์แก่คนอื่นมากยิ่งขึ้น และสร้างให้เธอเป็นคนที่คิดทำงานเพื่อสังคมมาตั้งแต่บัดนั้น
ในปีต่อมาเธอก็ยังได้รับเลือกให้เป็นประธานชมรมภาษาอังกฤษ ทั้งยังได้เป็นรองประธานนักเรียน เพราะเพื่อน ๆ ได้เห็นความกล้าหาญและความฉลาดของเธอที่ได้แก้ไขสถานการณ์ในวันที่แสดงดนตรีนั้นได้อย่างเรียบร้อย ในปีนั้นเธอได้จัดโครงการแข่งขันภาษาอังกฤษระหว่างโรงเรียน ซึ่งก็ประสบความสำเร็จด้วยดี มีโรงเรียนมาร่วมแข่งขันกันกว่า 20 โรงเรียน โดยเงินที่มาใช้จัดงานและของรางวัลนี้นได้รับบริจาค “ผู้ไม่ประสงค์ออกนาม” ซึ่งก็คือจากนักดนตรีที่มาขอบคุณครูจิตรานั่นเอง ที่ได้ขอรับบริจาคจากแฟนเพลงที่มาชมการแสดงให้ร่วมจัดการแข่งขันภาษาอังกฤษในครั้งนั้นด้วย ภายหลังเมื่อทางโรงเรียนได้ทราบเรื่อง แม้จะรู้สึกไม่ชอบใจในตอนแรก แต่เมื่อมองเห็นว่าโครงการนี้ได้สร้างชื่อเสียงให้กับทางโรงเรียน โรงเรียนก็ได้รับเป็นโครงการประจำของโรงเรียน ที่ได้มีการจัดแข่งขันมาอีกหลายปี จนมีการเปลี่ยนผู้บริหารโรงเรียนในสมัยต่อมาโครงการนี้ก็ถูกยกเลิกไป แต่ก็ยังเป็นที่จดจำกันได้ว่าเป็นผลงานของเธอและชมรมภาษาอังกฤษ ซึ่งเธอมีความภาคภูมิใจมาก
ครูจิตราสอบเอนทรานซ์เข้ามหาวิทยาลัยได้ ความจริงเธออยากเรียนที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์มาก ๆ เพราะในยุคนั้นอยู่ในช่วงหลังเหตุการณ์วันที่ 14 ตุลาคม 2516 คนรุ่นใหม่อย่างเธอมีความรู้สึกว่าที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ได้สร้างประวัติศาสตร์การต่อสู้ของคนหนุ่มสาวให้เกิดขึ้น และด้วยอุดมการณ์ที่อยากทำงานเพื่อสังคมของเธอ ทำให้เธอคิดว่าที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์นั้นน่าจะเหมาะสมกับเธอมากที่สุด แต่เนื่องจากระบบการเลือกคณะที่จะเรียนในการสมัครสอบเข้ามหาวิทยาลัย ที่ในสมัยนั่นสามารถเลือกคณะที่จะสอบเข้าได้ 6 คณะ ซึ่งจำเป็นจะต้องเรียงลำดับแต่ละคณะที่เลือกตามลำดับคะแนน “สูง - ต่ำ” ที่มีการสอบไปในปีก่อน ๆ ครูจิตราก็เลยต้องเลือกคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยไว้เป็นอันดับ 1 แล้วตามมาด้วยคณะรัฐศาสตร์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ไว้เป็นอันดับที่ 2 และอีก 4 คณะที่เหลือก็เป็นในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ทั้งหมด เพราะคิดว่าเธอคงทำคะแนนในการสอบไม่สูงพอที่จะได้เรียนที่จุฬาฯ เพียงแต่เธออยากเรียนในคณะรัฐศาสตร์ ที่เธอเชื่อว่าจะทำให้เธอทำงานเพื่อสังคมได้ดีที่สุด เธอจึงต้องเลือกคณะรัฐศาสตร์ของจุฬาฯ ไว้ด้วย
ในวันประกาศผลการสอบ เธอรีบไปที่สนามฟุตบอลในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยแต่เช้าตรู่ (สมัยนั้นยังเรียกว่า “สนามจุ๊บ” ที่กร่อนมาจากชื่อ “สนามจารุเสถียร” เพราะตั้งตามนามสกุลของ 1 ใน 3 ทรราชย์ ยุคก่อน 14 ตุลาคม 2516 ซึ่งเคยมาเป็นอธิการบดีของจุฬาฯอยู่สั้น ๆ ช่วงหนึ่ง) ตอนแรกก็ไม่ได้ไปดูบอร์ดที่ติดรายชื่อของจุฬาฯ เพราะคิดว่ายังไง ๆ ถ้าสอบได้ ก็ต้องเป็นที่ธรรมศาสตร์ที่เธอเลือกไว้ถึง 5 คณะเท่านั้น แต่เมื่อไม่เห็นรายชื่อในทั้ง 5 คณะของธรรมศาสตร์ เธอก็เดินคอตกออกมาจากสนามจุ๊บด้วยความเสียใจ แต่มานึกขึ้นได้ว่ายังเลือกไว้ที่จุฬาฯอีกด้วย ก็เลยย้อนกลับไปดู และก็ต้องตกใจอย่างมากที่เห็นชื่อของเธออยู่ที่นั่น
บางทีโชคชะตาก็ไม่ได้กำหนดว่าจะต้องใช้ชีวิตที่ไหน แค่กำหนดว่าจะต้องทำอะไร ซึ่งจะไปทำที่ไหน ๆ ในอย่างที่อยากทำนั้นก็ได้