ปากกาขนนก / สกุล บุณยทัต
“การเดินทางของความเป็นชีวิต เปรียบดั่งการผจญภัยอันทบซ้อนระหว่างความทุกข์กับความสุข ระหว่างความมืดกับแสงสว่าง และระหว่างกายและใจอันเต้นเร่าต่อการรับรู้นานา..ชีวิตคืออะไรกันแน่ระหว่างการก้าวเดินนั้น...นั่นคือคำถามถาวรที่ต้องประจักษ์อยู่ซ้ำ...หรือว่ามันเป็นบทเรียนอันยอกย้อนกลับด้านที่จะปลุกตื่นและปรุงแต่งให้หัวใจเป็นอิสระจากการครอบงำ...เราต่างมีการเดินทางแนบชิดอยู่กับจิตวิญญาณของกาลเวลา...จนกว่าชีวิตจะแตกดับ...และนี่คือสิ่งที่นับเนื่องเป็นวิถีที่พร้อมจะเบ่งบานและโรยราได้...ในทุกเมื่อ”
สาระแห่งการรับรู้เบื้องต้น คือแก่นรากแห่งหนังสือที่มีคุณค่าต่อ การเคลื่อนไปข้างหน้าของตัวตน ที่ทั้ง ดิ่งลึกและปีนป่าย สู่ความรุกร้นในนัยความหมายของชีวิต...มันคือหนทางเดินแห่ง “ทางเดินของก้อนหิน” ประพันธกรรมแสนงามจากการเรียงร้อยถ้อยคำของ “สุวิชานนท์ รัตนภิมล” นักเขียนรางวัลลูกโลกสีเขียวปี 2544 และ รางวัลแม่น้ำโขงอวอร์ดประจำปี 2564
การเพ่งมองธรรมชาติด้วยวิถีของการอยู่ร่วม ระหว่างมนุษย์ สัตว์ พืช ถือเป็นแกนหลัก ที่หมุนโลกแห่งสำนึกให้เคลื่อนขยายไปข้างหน้า เคลื่อนตัวไปอยู่ที่ไหนๆ...บรรยากาศอันก่อเกิดเป็นบริบทของชีวิตในแต่ละห้วงตอน...ถือเป็นรากฐานแห่งประสบการณ์ชีวิตที่มีคุณค่า...มันคืออารมณ์ความรู้สึกของความฝังจำ..เป็นปรากฏการณ์ที่ตราตรึงอยู่กับชีวิตเสมอ
“เคลื่อนตัวไปอยู่ที่ไหนก็ตามยามนี้ หนีไม่พ้นความร้อน ร้อนอบอ้าวทั้งกลางคืนกลางวัน ร้อนจนดูเหมือนไร้เหตุผล แต่กลับเต็มไปด้วยเหตุผลที่เกิดความร้อน...คุกรุ่นไหลเนื่องหากันอยู่ตลอดเวลา...วันใดมีมวลอากาศเย็นมาเยือนบ้าง ก็ต้องทำใจเผชิญฟ้าฝนแรง...พายุหอบฝน พายุลูกเห็บ โรมรันเรียงหน้ากันเข้ามา”
ผัสสะแห่งธรรมชาติดั่งนี้ คือภาวการณ์..ของการเผชิญหน้าในสัดส่วนของการดำรงชีวิตเพื่อสร้างบทเรียนชีวิต...ธรรมชาตินิยมในตัวตนของสุวิชานนท์ ...คือฉากแสดงที่เปิดกว้างจากความบริสุทธิ์ใจ ที่สรรค์สร้างโครงข่ายแห่งความเป็นจริงแห่งการสังเกตเห็นขึ้นมา ฉากและชีวิตในนามของธรรมชาตินุ่มนวลแต่ก็ซับซ้อนเสมอ...มันแฝงฝังอยู่กับทิศทางของเป้าหมายที่มนุษย์ทั้งด้วยความรู้ตัวและไม่รู้ตัว..
“อันที่จริง พื้นที่ทางเหนือเพิ่งตีฝ่าวงล้อมหมอกควันมาได้ไม่นาน ผ่านพ้นมาได้ด้วยฤทธิ์เดชของห่าฝนเดียว...ผลักไสให้ควันเจือจาง...อันถือว่ามีมือมนุษย์เข้าไปมีส่วนช่วยน้อยมาก ...บทร้อนอบอ้าวที่มนุษย์ พืช สัตว์ ต่างแสดงอาการดิ้นรน จะน่าเวทนาถึงสวรรค์ก็หาไม่ นรกหมกไหม้ในขุมนรกนั้นแน่แท้ ถึงเวลาผ่านฤดู ถึงเวลาพายุ เดินทางมาทุกทิศทุกทาง ราวกับสัตว์ร้ายหนี กระเสือกกระสนออกมาจากขอบฟ้า อาละวาดข้ามผ่านหมู่บ้าน เมืองมนุษย์..”
โลกทัศน์และชีวทัศน์ ของเลือดเนื้อ แห่งธรรมชาติดั่งนี้...นับเป็นข้อสังเกตการณ์แห่งการหยั่งเห็นของ “สุวิชานนท์” ที่ใช้ชีวิตอยู่ในที่โล่งอย่างเปล่าเปลือยด้วยพลังของการมีชีวิตอยู่กับขุนเขา..ที่ยากจะสามารถรู้ล่วงหน้าว่า..จะเกิดอะไรขึ้นตอนไหน เวลาไหน หมู่บ้านไหน บ้านหลังไหน และส่วนไหนของเมือง จนกว่าจะปรากฏม่านทะมึนก่อตัวมาอย่างเงียบเชียบ แล้วกลายร่างเสื้อคลุมไร้รูป จู่โจมฉับพลันทันใด ไม่เว้นว่า จะเป็นทุ่งโล่ง ป่า สวน ไร่ นา เมืองหรือชนบท มนุษย์ สัตว์ พืช สิ่งของ ต่างยืนรับหน้าเสมอภาคกัน...เป็นความเท่าเทียมเสมอกัน ต่อหน้าดินฟ้าอากาศแปรปรวน....
“การเกิดลมพายุ ห่าลูกเห็บในช่วงหน้าร้อนไม่ใช่เรื่องใหม่ หมุนวนผ่านมาทุกปี แต่ทุกปีดูเหมือนจะยิ่งเพิ่มความรุนแรงหนักหน่วงเป็นบริเวณกว้าง และยากจะคาดเดาทิศทางเคลื่อนตัว หนักเบาน้อยแค่ไหน...วิถีชีวิตมนุษย์ยุคใหม่เคลื่อนไปพร้อมกับการทำให้เกิดธรรมชาติวิปลาสรุนแรงขึ้น ยากต่อการตั้งรับกับความจริงของสภาพดินฟ้าอากาศ”
ปรากฏการณ์ของธรรมชาติ ปรากฏการณ์แห่งลมพายุฝน ส่งผลต่อความเคลื่อนไหวแตกต่างกัน ของคนต่างพื้นที่...มีข้อห้ามเดินเข้าป่าในช่วงที่มีพายุพัดแรง ด้วยห่วงว่าจะมีต้นไม้หักโค่นทับลงมาได้ เป็นที่เข้าใจของคนอยู่ตามป่าเขา แต่ก็ไม่วายที่จะมีใครเดินทางข้ามป่าในพายุฝน แล้วกลับออกมาโดยไม่รู้สึกรู้สาว่าจะมีเหตุร้ายใดๆเกิดขึ้น..ตามป่าเขาไม่มีใครโหมประโคมข่าวพายุฝน ต่างคนต่างอยู่ด้วยการเฝ้าสังเกต หรือรู้ข่าวพยากรณ์ภูมิอากาศ ผ่านคลื่นวิทยุ จอทีวี ก็ใช่ว่าจะมีใครเชื่อได้ง่ายๆ...ชีวิตดำเนินไปดังเดิม เกิดเหตุเมื่อไหร่จึงช่วยหาทางช่วยเหลือแก้ไขกัน..นั่นจึงเท่ากับว่า...อารมณ์ขันแบบลมๆ แล้งๆ คงหาได้ตามพื้นที่ป่า ในขณะที่พื้นที่เขตเมืองหรือชนบท ที่ราบเต็มไปด้วยเสียงป่าวประกาศให้ระวังพายุ ฝนฟ้าคะนอง เพราะเมล็ดพันธุ์ ไม่ได้ออกเดินทางไม่ได้ออกเดินหาที่งอกอีกแล้ว แต่เป็นฝุ่นที่ออกเดินทางแทน เข้าไปในทุกหนแห่ง ไปถึงห้องครัวห้องนอน
“สุวิชานนนท์”ได้กล่าวถึงประเด็นสำคัญแห่งธรรมชาตินั่นก็คือภาวะวิกฤตของโลกร้อน ในฐานะนักสังเกตการณ์...ผ่านความตระหนักคิดส่วนตัว และประสบการณ์อันเอกอุของปราชญ์”พะตี จอนิ โอโดเชา”...ความเป็นไปจากข้อสังเกตแห่งการรับรู้ในรู้สึกทั้งหมดนั้น..ได้สร้างภูมิรู้อันถ่องแท้ขึ้นมาว่า...
“โลกมันร้อน...เพราะเราทำให้ต้นไม้มันหายไปเยอะ นั่นอีกอย่างหนึ่ง มนุษย์ทุกคนมีส่วนทำให้เกิดความร้อน เกิดพายุ เราต้องกลับมาหาตนเอง ปลูกต้นไม้ให้มากขึ้น ใครมีที่ดินเยอะ ก็ต้องเว้นที่ไว้ปลูกต้นไม้ หากทุกคนคิดได้อย่างนี้ อะไรๆมันก็จะเบาลงดีขึ้น”....ความคิดนี้เสริมส่งและตอกย้ำให้หนักแน่นและน่าเชื่อถือศรัทธา ด้วยความคิดของปราชญ์”พะตี จอนิ โอโดเชา”ที่ได้ย้ำสอนให้ได้คิดว่า..
ทุกวันนี้ เรามัวแต่ทำต้นไม้ให้ลดลงเรื่อยๆ ทำหมู่บ้านให้เป็นเมืองไปหมดแล้ว..อีกหน่อยต้นไม้ในหมู่บ้านก็เปลี่ยนไป ถ้าทุกคนคิดอย่างนี้หมด จะช่วยกันได้อย่างไร ไม่ต้องพูดถึงพวกโรงงานอุตสาหกรรม พวกนี้ทำให้โลกร้อนโดยตรง...ยิ่งทำให้เกิดพายุแรงขึ้น
“ลมเกิดแต่ป่า ดีไปอย่าง มันช่วยแต่งป่า ต้นไม้ใหญ่ล้ม มันบอกว่า ลุงแก่แล้ว ลุงล้มแล้ว ลูกหลานก็โตขึ้นมาแทนมากกว่าเดิม กิ่งแห้งๆผุๆก็หักลงมา เปิดรับแสงดีขึ้น ต้นเล็กๆจะได้โตขึ้นมา”
ผมถือว่าทางเดินของ “สุวิชานนนท์”ตามสายทางชีวิตเช่นนี้เปรียบดั่งวิถีของอุดมคติ...ที่โยงใยอยู่กับอุปสรรคของชีวิตที่เรานิ่งนอนใจไม่ได้ มันเป็นดั่งรอยผุพังของกาลเวลาแห่งธรรมชาติ ที่มีชีวิตแนบเนาอยู่...เราต่างมองเห็นพืชพันธุ์ สัตว์ คน ต่างร่วมกันแสดงการบอกเหตุบางอย่าง...เป็นแบบเรียนรู้ที่ธรรมชาติยื่นให้พิจารณา...วิธีคิดในแนวคิดนี้...ล้วนสะท้อนแรงกระเพื่อมจากดินฟ้าอากาศ ด้วยมิติอันล้ำลึกบางอย่าง ซึ่งเรียกกันว่า สัญชาตญาณที่อยู่ในพืช ในสัตว์ เพื่อการปรับตัวให้อยู่รอด ข้ามผ่านฤดูกาลหนึ่งก็ได้...
“ทุกอย่างเกิดซ้ำได้ เกิดซ้ำๆให้คนจำ นำมาสอนถึงลูกถึงหลาน มันจริงทั้งนั้น เทคโนโลยีไปไกลถึงไหน เราก็ใช้ตาไว้ดู ใช้จมูกดมกลิ่น ใช้หูฟัง มือหยิบๆจับๆ เท้าก็เดิน ต้นไม้ก็ยังออกดอกออกหน่วย แตกกิ่งแตกยอด มันเกี่ยวกันทั้งนั้น เป็นเรื่องเดียวกัน ไม่มีอะไรแยกอยู่โดยไม่เกี่ยวข้องกับสิ่งอื่น...”
การอ้างถึงคำสอนของ “พะตีจอนิ” ตรงส่วนนี้...ดั่งความหมายของการรู้ใจและสถานการณ์แห่งคนของอดีต...ที่ให้ข้อสรุปอันเป็นที่สุดว่า...สัญชาตญาณการหนีภัย แบ่งขายกันไม่ได้ แต่เรียนรู้กันได้ บทเรียนแบบป่าๆเรียนรู้ด้วยประสบการณ์ มองซ้ำๆนานปี ความรู้ประเภทนี้ไม่มีในตำรับตำรา ออกเดินไปก็รู้เห็นเอง เป็นสัมผัสอันอ่อนไหว เต็มไปด้วยการเคารพน้อมใจไปหา...ดังนั้น.
“สิ่งมีชีวิตทั้งหลายจึงไม่ควรนิ่งนอนใจ...ชีวิตเป็นเรื่องไม่แน่นอน ผันแปรตลอดเวลา เตรียมใจไว้รับกับความเปลี่ยนแปลง สิ่งที่เกิดขึ้นเหนือความคาดหมาย เพียงแต่ใครจะเชื่อเครื่องวัดดินฟ้าอากาศ ในธรรมชาติหรือไม่เท่านั้น”
“ทางเดินบนก้อนหิน”...เขียนขึ้นด้วยสายตาของคนอยู่ไร่อยู่ป่า ไม่ใช่ด้วยสายตาของนักวิจัย จึงมีสีสันแห่งการบอกเล่า สิ่งที่เหลือเชื่อที่รอการพิสูจน์ หรือไม่ก็เป็นคำถามถึงเหตุผลที่มา...เพื่อไปให้ถึงความจริงความงามสักอย่างหนึ่ง..”
เป็นหนังสือแห่งความหวังที่ผู้เขียนหวังถึงว่า...มันจะต้องเป็นเสมือนการออกเดินไปอ่านโลกในธรรมชาติป่าเขา ที่ผ่านการบ่มความเชื่อมายาวนาน และกลายมาเป็นความเข้าใจที่อยู่กับธรรมชาติป่าเขาอย่างกลมกลืน..
นี่คือชีวิตแห่งชีวิตในนามแห่งหนังสือที่มีภาษาใจ อันวิจิตรงดงามเล่มหนึ่ง..มันตีความสรรพสิ่งเนื่องในธรรมชาติ ด้วยสถานะแห่งการสัมผัสรู้ทางภูมิปัญญาอันใหม่สุด...ภายใต้บริบทแห่งการมีชีวิตอยู่ของ”คนปกาเกอะญอ”ที่ระบุถึงความเป็นตัวตนว่า...พวกเขาเป็นลูกหลานของคนทำไร่อยู่บนหิน มีชีวิตราวกับโดนกลั่นแกล้งตลอดเวลา มีธรรมชาติดิบเถื่อนดั้งเดิมที่ผันแปรรุนแรง ปลูกข้าวลงบนหิน ใช้ชีวิตอยู่บนที่แล้ง แผ่นดินเป็นหิน มีความสมบูรณ์น้อย...ที่เวลาจะเดินผ่านจะต้องเดินแบบหมา...ต้องเดินสี่ขา เกาะก้อนหินไปทีละก้อน ...ถึงจะไม่ล้ม..นั่นเปรียบดั่งว่าเราได้กลายเป็นสัตว์โลกที่เริ่มต้นเรียนรู้โลกอย่างจริงจัง ด้วยสองมือ สองแขน สองขา สองตา สองหู ได้สัมผัสธรรมชาติเดิมแท้ ตรงๆ ง่ายๆ..เรียนรู้ไปด้วยกัน...
“ผมมองลูกชายที่กำลังเติบโต เขาต้องการความมั่นอกมั่นใจ ยามต้องออกไปเผชิญโลกอยู่ตามลำพัง เล็กๆน้อยๆที่ลูกชายได้รับ...จะเป็นอิฐก้อนแรก ที่รออิฐก้อนอื่นมาทบซ้อนบนความใฝ่ฝัน...หรืออาจตามหาอิฐก้อนต่อๆไป มาต่อเติม