น่ารักอบอุ่น "พ่อปุ่น ศิธา เบอร์11" ควงภรรยาและลูกๆ 4 คน ทำกิจกรรมที่สวนรถไฟในวันครอบครัว ระบุ ครอบครัวคือพลังสำคัญของสังคมไทย ต้องมี"พื้นที่สำหรับครอบครัว"มากขึ้นในกรุงเทพฯ ให้ครอบครัวได้มีกิจกรรมร่วมกันทั้งการออกกำลังกาย การสันทนาการ การนำสัตว์เลี้ยงมาเล่นด้วยโดยแบ่งโซนให้ชัดเจน ขณะที่การเพิ่มพื้นที่สีเขียว ต้องสอดคล้องกับกิจกรรมของครอบครัว แนะการจัดงบต้องเน้นการเพิ่มพื้นที่สวนไม่ใช่สิ่งปลูกสร้าง
น.ต.ศิธา ทิวารี ผู้สมัครผู้ว่ากทม.หมายเลข11 พรรคไทยสร้างไทย พาภรรยาและลูกๆทั้ง 4 คน ไปปั่นจักรยานที่สวนรถไฟในช่วงวันหยุดเทศกาลสงกรานต์ ซึ่งลูกๆทั้ง 4 คนประกอบไปด้วย น้องมินนี มิคกี้ มาร์โก มาร์เวล รวมถึงภรรยาอย่างคุณเม ได้นำจักรยานคันโปรด มาปั่นออกกำลังกาย พร้อมชื่นชมทัศนียภาพรอบสวนเบญจสิริทัศน์ หรือสวนรถไฟ โดยมีช่างภาพและสื่อมวลชน ให้ความสนใจเก็บภาพความน่ารักของครอบครัว ผู้สมัครผู้ว่ากทม.หมายเลข11 จากพรรคไทยสร้างไทยอย่างอบอุ่น นอกจากนี้น้องๆทั้ง 4 คนยังได้รับความเอ็นดู จากพี่น้องประชาชนที่ผ่านไปมา และเข้ามาใช้บริการในสวนสาธารณะแห่งนี้ ขอถ่ายภาพชื่นชมความน่ารักด้วย
น.ต.ศิธา กล่าวว่าตนเป็นคนให้ความสำคัญกับ"สถาบันครอบครัว"เพราะเป็นจุดเริ่มต้นเป็นเบ้าหลอมเด็กๆ ให้เติบโตอย่างมีคุณภาพ เมืองอย่าง กทม. ก็ต้องเป็นผู้สนับสนุนให้เกิดพื้นที่ของครอบครัวและกิจกรรมของครอบครัว ให้พ่อแม่ลูกได้มีโอกาสทำกิจกรรมร่วมกันในสวนสาธารณะที่ร่มรื่นปลอดภัย
“วันนี้ตนพาภรรยาและลูกมาปั่นจักรยาน ซึ่งลูกชอบมาก แต่มีสวนไม่กี่แห่งในกรุงเทพที่จะพาลูกมาขี่จักรยานได้ รวมทั้งมีสวนน้อยมากที่อนุญาตให้นำสัตว์เลี้ยงเข้าไปในสวน ซึ่งลูกผมเลี้ยงสุนัขไว้หลายตัว ถ้าจะพาสุนัขไปด้วยต้องไปถึงบึงหนองบอน
ซึ่งถ้าผมได้เข้าไปเป็นผู้ว่ากทม. ผมจะให้ความสำคัญกับการสร้างพื้นที่ครอบครัวให้เด็กๆสามารถมาวิ่งเล่น ขี่จักรยาน เล่นเซิฟสเก็ต และนำสัตว์เลี้ยงที่รักมาร่วมทำกิจกรรมด้วย ซึ่งจะมีการจัดโซน แบ่งสัดส่วนของพื้นที่ที่สามารถนำสุนัขมาได้ให้ชัดเจนเพื่อไม่สร้างความเดือดร้อนรำคาญกับบุคคลอื่นๆ โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ในปัจจุบันส่วนมากอยู่ในคอนโดมิเนียมไม่มีสถานที่รองรับกิจกรรมเหล่านี้เพียงพอ ผมคิดต่างครับ และจะทำในสิ่งที่ผู้ว่าฯคนอื่นไม่เคยทำ " น.ต.ศิธา กล่าว
น.ต.ศิธา ย้ำว่า "ผมจะเพิ่มพื้นที่สีเขียวที่เป็นพื้นที่ครอบครัว ที่ทุกครอบครัวสามารถนำลูกมาวิ่งเล่น ปั่นจักรยาน เล่นเซิฟสเก็ต และนำสัตว์เลี้ยงในบ้านทั้งหมาทั้งแมวมาวิ่งเล่นด้วยได้”
ดังนั้นตนจึงมีนโยบายในการเพิ่มพื้นที่สีเขียวในกรุงเทพฯ ที่ทางกทม.เคยประกาศว่ามีพื้นที่สีเขียวเกือบ 7 ตารางเมตรต่อ 1 คน แต่ความเป็นจริง พื้นที่สีเขียวที่ถูกประเมินนี้ เป็นพื้นที่เกาะกลางถนนและส่วนอื่นๆที่ไม่สามารถใช้ประโยชน์ได้จริง จึงทำให้เหลือพื้นที่สีเขียวที่สามารถใช้งานได้ประมาณ 2 ตารางเมตรต่อคนเท่านั้น ซึ่งถือว่าน้อยมากๆ
และที่ผ่านมา กทม.จะให้ความสำคัญกับการใช้งบไปสร้างอาคารมากกว่าการสร้างพื้นที่สีเขียวอย่างเช่นที่สวนลุม มีโครงการที่นำงบประมาณ 600-700 ล้านบาทไปสร้างเป็นสิ่งปลูกสร้าง ไม่ได้เพิ่มเป็นพื้นที่สีเขียว
“ซึ่งนโยบายเพิ่มพื้นที่สีเขียวของผมจะมีแอพพลิเคชั่นให้ประชาชนเข้าไปปักหมุดในพื้นที่รกร้าง หรือพื้นที่ไม่ได้ใช้สอย จากนั้นจะเข้าไปหารือกับคนในพื้นที่ หรือเจ้าของพื้นที่ เพื่อพูดคุยเรื่องการขอใช้ประโยชน์ โดยมีแรงจูงใจทางด้านภาษีและในด้านอื่นๆเพื่อนำมาปรับปรุงเป็นพื้นที่สวนสาธารณะให้พี่น้องประชาชนได้ใช้ออกกำลังกายและเป็นพื้นที่สำหรับครอบครัว
น.ต.ศิธา ย้ำว่าการเพิ่มพื้นที่สีเขียวจะต้องสอดคล้องกับกิจกรรมในครอบครัว เพราะปัจจุบันพื้นที่สีเขียวสำหรับครอบครัวมีน้อยมาก กทม.ต้องเข้าไปดูแล หากทำได้ตนเชื่อว่า จะสร้างพลังครอบครัว แม้จะเป็นจุดเล็กๆ แต่เป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่ในการสร้างคุณภาพให้สถาบันครอบครัว สำหรับคนกรุงเทพฯยังมีปัญหาปากท้องเป็นปัญหาใหญ่ที่สุดในเวลานี้ รวมถึงปัญหาขยะและมลภาวะ ซึ่งล้วนแต่กระทบต่อคุณภาพชีวิต อาจจะทำให้เกิดความเครียดในครอบครัวและการดูแลคนในครอบครัวก็จะมีปัญหา ซึ่งส่วนตัวมองว่ากทม.ควรเข้ามาดูแล ดังนั้นหากตน ได้รับความไว้วางใจ จะเร่งเข้ามาสะสางปัญหาเหล่านี้ในทันที ///



