เรื่อง : ปาริชาติ เฉลิมศรี
หมายเหตุ : "ดร.สติธร ธนานิธิโชติ" ผู้อำนวยการสำนักนวัตกรรมเพื่อประชาธิปไตย สถาบันพระปกเกล้า ให้สัมภาษณ์พิเศษ "สยามรัฐ" ถึงการเมือง การต่อสู้ในสนามเลือกตั้งระดับท้องถิ่น ทั้งการเลือกตั้ง “ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร” ไปจนถึงการเลือกตั้งเมืองพัทยา ภายหลังจากที่ว่างเว้นมายาวนานหลาย
- ศึกสนามเลือกตั้งกทม.จะสู้กันดุเดือดหรือไม่
น่าจะสู้กันเข้มข้น เพราะทุกคนรู้สึกว่ามีความหวังในมุมของตัวเอง และจะใช้จังหวะนี้เบียดคนอื่นต่างคนต่างวิเคราะห์ให้มีความหวัง ถามว่าเปิดตัวกันมาใครกระแสดี ก็ต้องยอมรับว่า ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม.นำมา ซึ่งนำมาตั้งแต่ก่อนการสมัครรับเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. เพราะเปิดตัวมานาน เป็นที่รับรู้ กระแสตอบรับก็ถือว่าดีมาโดยตลอด มีการทำโพลก่อนหน้านี้ก็ถือว่าดี ซึ่งก่อนวันปิดรับสมัครโค้งแรกก็ยังเป็น ชัชชาติ ที่มีคะแนนนำ ซึ่งนำทั้งกระแสและการตอบรับ ส่วนคนอื่นเปิดตัวช้าก็ต้องทำใจช่วงแรกก็ต้องทำงานหนักกันหน่อย
- การที่ ชัชชาติ สมัครผู้ว่าฯ กทม.ในนามอิสระ ไม่สังกัดพรรค
เขาไม่ได้สมัครในนามอิสระ เพราะเขามีพรรคเพื่อไทยหนุนอยู่ข้างหลัง เพียงแต่ว่าจะเห็นภาพผสมกัน หากไปบอกว่าลงสมัครในนามพรรคเพื่อไทยร้อยเปอร์เซ็นต์ก็จะเป็นอีกภาพหนึ่ง แต่ถ้าบอกว่าลงในนามอิสระแต่มีเยื่อใยกับพรรคเพื่อไทยซึ่งสนับสนุน และไม่ส่งแคนดิเดต ผู้ว่าฯ กทม. แต่ส่งผู้สมาชิกสภากรุงเทพมหานคร (ส.ก.) ก็จะมีภาพที่ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน รวมถึงเป็นการเปิดประตูให้ชัชชาติ ไปเชื่อมกับกลุ่มอื่นที่ไม่จำเป็นต้องอยู่ในเครือข่ายพรรคเพื่อไทยได้
- การที่พรรคไทยสร้างไทย ส่งผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม. จะเป็นการตัดคะแนน ชัชชาติ หรือไม่
ตัดกันเองแน่นอน เพราะฐานที่สำคัญของคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานพรรคไทยสร้างไทยเพราะคนเก่าย้ายจากฐานพรรคเพื่อไทยไป การที่คุณหญิงสุดารัตน์ ตัดสินใจมีพรรคเป็นของตัวเอง ถ้าไม่เปิดตัวส่งผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม. แล้วไปรอเปิดตัวทีเดียวในสนามเลือกตั้งใหญ่ก็เหมือนทิ้งโอกาสไปหรือไม่ ซึ่งเขาอาจจะมองในมุมที่ว่า อาจจะเป็นโอกาสที่เอาชื่อไทยสร้างไทย และหน้าตาคุณหญิงสุดารัตน์ กลับมาอยู่ในซีนกับเขาด้วย ไม่อยากอยู่เงียบ ๆ แล้วรอสนามระดับชาติอย่างเดียว
ส่วนเรื่องการตัดคะแนนมันตัดอยู่แล้ว เพราะฐานจัดตั้งเดียวกัน แต่ฐานความนิยมส่วนบุคคลอาจจะไปแชร์จากคนที่เหลือกลุ่มอื่นๆ ที่ไม่ได้ปักใจเลือกเพื่อไทย เลือกพลังประชารัฐ เสียทีเดียวอาจจะแบ่งส่วนนั้นมาได้
- ผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม.ในนามอิสระ และสมัครในนามพรรคการเมือง จะมีความได้เปรียบเสียเปรียบอย่างไร
ในนามอิสระจะมี 2 แบบคือ แบบที่มีพรรคอยู่ข้างหลัง และแบบที่อิสระแท้จริงที่เพิ่งมาเปิดในสนามผู้ว่า ฯ กทม. แน่นอนว่าผู้สมัครที่มีพรรคหนุนหลังชัดเจนหรืออิสระแบบที่มีพรรคอยู่ข้างหลังได้เปรียบกว่า เพราะมีเครือข่ายเชิงพื้นที่มีคนทำงานพื้นที่ให้ เช่น มีผู้สมัคร ส.ก.เป็นของตัวเอง หรือส.ก.ที่พร้อมมาสนับสนุนตัวเอง ตรงนี้จะเป็นมดงานที่จะไปทำงาน ไปหาเสียงของเขาเองและถ้าพ่วงเบอร์ผู้ว่าฯ กทม. ไปด้วยก็จะช่วยกัน
ขณะเดียวกันถ้ากระแสผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม. คนไหนดี มีเสียงความนิยมส่วนตัว มีคนชื่นชอบ ผู้สมัคร ส.ก.ที่เป็นเครือข่ายคนนั้นก็จะใช้คะแนนกระแสมาช่วยสนับสนุนเหมือนเป็นการพึ่งพากัน เพราะเครือข่ายจะมีเสียงจัดตั้งอยู่ในมือไม่ว่าจะในนามพรรคหรือในนามกลุ่ม การเมืองที่อยู่ในพื้นที่
แต่ปัญหาการเลือกตั้งรอบนี้ จะเลือกพร้อมกันทั้งผู้ว่าฯ กทม.และส.ก. ซึ่งคะแนนเสียงจัดตั้งอย่างเดียวคงไม่พอที่จะชนะได้ ฉะนั้นพวกที่มีเสียงจัดตั้งก็อยากได้พวกที่มีคะแนนกระแสนิยม ซึ่งใครที่มีคะแนนทั้ง 2 ส่วน ก็จะได้เปรียบกว่าคนที่มีคะแนนเพียงก้อนเดียวอยู่แล้ว
- สนามเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. เป็นสนามรองจากสนามเลือกตั้งใหญ่ที่จะเกิดขึ้นในวันข้างหน้า คิดว่าพรรคการเมืองจะใช้โอกาสนี้ปรับกลยุทธ์อย่างไร
สนามเลือกตั้งกทม.จะเป็นการเช็ค 2 อย่าง คือ 1. เช็คเรทติง จึงต้องใช้กลยุทธ์ที่จะใช้เรียกเรทติง เช่น วิธีการสื่อสาร การหาเสียงผ่านโซเชียลมีเดีย สนามเลือกตั้งกทม.จะเป็นบทเรียนว่า การสื่อสารแบบไหนที่คนชอบ การใช้โซเชียลมีเดียจะต้องใช้อย่างไรไม่ให้เปลือง ไม่ใช่จ่ายเงิน แต่ไม่ได้รับการตอบสนอง ต้องใช้เครื่องมือไหนกับกลุ่มไหน รวมถึงเนื้อหาที่คนกทม.เขาอยากได้อะไรจริงๆ ทั้งในเชิงนโยบาย หรือในเชิงตัวบุคคล หน้าตาประมาณไหน โปรไฟล์แบบไหนที่คนชอบเลือกกัน ซึ่งพรรคจะต้องเก็บข้อมูล แต่ก็ต้องโน้ตไว้ด้วยว่า ความคาดหวังจากสนามเลือกตั้งใหญ่กับสนามเลือกตั้ง กทม.อาจจะแตกต่างกันได้
2. เป็นการเช็คเครือข่าย ซึ่งพรรคการเมืองขนาดใหญ่ที่ครองพื้นที่ใน กทม.ต้องเช็คเครือข่ายว่าใครจะยังอยู่ด้วยกัน รวมถึงอาศัยจังหวะนี้ดูเรื่องการสนับสนุนเพื่อผูกพันกันต่อไปยังสนามเลือกตั้งใหญ่ว่า ใครคบได้ ใครคบไม่ได้ ก็วัดกันตอนนี้ ใครอยู่กับเราเต็มร้อย ใครอยู่กับเราแบบครึ่งๆ กลางๆ รวมถึงการเช็คเครือข่ายของคนอื่นที่จะดึงเข้ามาอยู่ในเครือข่ายเรา
- การหาเสียงด้วยการใช้โซเชียลมีเดียที่ดูเหมือนว่า ชัชชาติ ใช้เก่งที่สุด จะมีผลต่อการเลือกตั้งหรือไม่ เพราะคนรุ่นใหม่ใช้โซเชียลมีเดียเป็นหลัก
มีผล ถ้าเอาเฉพาะเกมเลือกผู้ว่าฯ กทม. เราจะเห็นว่า การเมือง 2 ขั้วยังอยู่ ชัชชาติ ก็ต้องแชร์คะแนนกับ วิโรจน์ ลักขณาอดิศร จากพรรคก้าวไกล และจากพรรคไทยสร้างไทย เพราะเนื้อในมีฐานเสียงเดียวกัน
ถ้าถามว่าโซเชียลมีเดียอิมแพคใครก็จะเป็นคนที่ใช้เยอะ ๆ คนที่มีกระแส เพราะโซเชียลมีเดียเป็นพื้นที่ที่คนรุ่นใหม่มาแสดงออกกัน หมายความว่าใครใช้โซเชียลมีเดียเก่ง ก็มีโอกาสที่จะได้คะแนนจากคนรุ่นใหม่เยอะ
ตรงนี้พิสูจน์ได้จากตอนเลือกตั้งปี 2562 ที่พรรคอนาคตใหม่ใช้โซเชียลมีเดียเก่งที่สุด จึงได้คะแนนจากคนรุ่นใหม่เยอะที่สุด ซึ่งรอบนี้ ชัชชาติ ใช้โซเชียลมีเดีย คนชอบและกระแสตอบรับในโซเชียลดี ซึ่งชัชชาติ ก็มีโอกาสแบ่งคะแนนจากพรรคก้าวไกลที่เป็นคนรุ่นใหม่มากขึ้น
โดยโจทย์ของ ชัชชาติมี 2 อย่างคือ 1. คะแนนในขั้วเดียวกันต้องแชร์ให้ได้มากที่สุด และอยู่ในสัดส่วนที่มากกว่าขั้วตรงข้าม 2. การดึงคะแนนจากขั้วตรงข้ามกับเอาคะแนนอิสระที่ไม่ได้สวิงไปซ้ายหรือขวามาอยู่กับตัวเอง เพราะโจทย์ของเขาจะต้องชนะทั้งฝ่ายตัวเองคือพรรคก้าวไกล และต้องชนะฝ่ายตรงข้ามให้ได้
รวมถึงต้องไม่ลืมว่า การเลือกตั้งเมื่อปี 2562 พบว่า มีกลุ่มที่ไปเลือกพรรคเศรษฐกิจใหม่ที่มี มิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ เป็นหัวหน้าพรรคกว่า 200,000 คะแนน ซึ่งตอนนั้นคนที่เลือกมิ่งขวัญ เพราะเพอร์ฟอร์มดีในเวทีดีเบต
ฉะนั้นเสียงจากกลุ่มนี้มีแนวโน้มจะไปทางไหนก็ได้ หากใช้โซเชียลมีเดียดี หรือสร้างกระแสแบบที่คนตอบรับกัน เขาอาจจะหันมาสนใจได้ ทำให้ผู้สมัครทุกคนมีโอกาสไม่ใช่เฉพาะชัชชาติ ถ้าทำได้อาจจะมีสองเด้ง คือได้เสียงจากคนรุ่นใหม่ในขั้วตัวเอง และได้เสียงจากขั้วฝั่งตรงข้าม หรือขั้วกลางๆ ที่เป็นอิสระ
- โค้งสุดท้ายของการเลือกตั้งในสนาม กทม. และคืนหมาหอนยังจะมีหรือไหม ?
สำหรับคืนหมาหอนในสนามเลือกตั้งกทม. เขามีล่วงหน้ากันนานแล้ว เขาทำกันในชุมชน เขาทำกันมาเป็นปีๆ เขาเลี้ยงกันต่อเนื่อง อย่างเสียงจัดตั้งที่เขาดูแลกันมานาน ไม่ใช่เฉพาะแค่คืนหมาหอนโดยเป็นการดูแลผ่านเครือข่ายชุมชน ทั้งที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการ ส่วนคืนหมาหอนจะมีการแจกเพิ่มอีกไหมก็ไม่แน่ แต่เรียกว่าเป็นคืนหมาหอนเสียทีเดียว เพราะเวลาที่การเดิมพันสูงมีคะแนนสูสีกัน คนที่อยู่ลำดับที่สอง ที่สามมีโอกาสชนะ ก็อาจจะมีการจูงใจโดยมีการช่วยเหลือเรื่องค่าเดินทาง ให้คนกลับมาใช้สิทธิเลือกตั้ง ซึ่งเป็นเรื่องปกติและก็มีแน่นอน
- การเลือกตั้งกทม.จะมีโอกาสคะแนนพลิกช่วงคืนสุดท้ายก่อนวันเลือกตั้งแบบเลือกตั้งใหญ่ปี 2562 หรือไม่
ก็เป็นไปได้ซึ่งการเลือกตั้งใหญ่เมื่อปี 2562 คล้ายกับการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.ปี 2556 ที่คนกลัว คนรู้สึกกังวลว่า ถ้าคนนี้ชนะ ชีวิตเขาจะลำบากหรือเจอกับอะไรที่เขาไม่อยากเจอ เขาจึงตัดสินใจเลือกทั้งที่เขาไม่อยากได้ อย่างกับการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.ปี 2556 ที่คนต่อว่า หม่อมราชวงศ์สุขุมพันธุ์ บริพัตร แต่ด้วยความกลัวคนที่เป็นคู่แข่งว่า ถ้าคนนี้ได้จะมีเงาของใครอยู่ข้างหลังก็เลยหลับหูหลับตาเลือก
ส่วนการเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม.ครั้งนี้จะเหมือนกับปี 2556 หรือไม่ ก็อาจจะเบาลงในแง่ความยึดโยงกับพรรคที่ชัดเจนจะน้อยลง ขั้วแบบเดิมอาจจะคลายลงแล้ว ความกลัวของคนแบบไม่เลือกเรา เขามาแน่ก็ลดลง ไม่เลือกลุงตู่ เดี๋ยวจะไม่สงบอาจจะคลายลงแล้ว เพราะว่ามีศัตรูหรือความกลัวอันใหม่หรือไม่ ซึ่งถ้าเทียบกันระหว่างโทนีและสีส้ม คนอาจจะกลัวสีส้มมากกว่าโทนีก็ได้ เพราะฝั่งหนึ่งเขาลดลงจากทักษิณ ชินวัตร เป็นโทนีและไม่ได้มีทีท่าอะไรที่น่ากลัวจนเกินไป แต่ขณะที่ความเป็นสีส้มมีความน่ากลัวอะไรบางอย่างที่คนเริ่มกังวลมากกว่า
ซึ่งในมุมของคนเลือกระหว่างสองสีนี้ ถ้าต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่งก็เอาแดงดีกว่าส้ม ฉะนั้นโอกาสที่จะใช้วาทะกรรมง่ายๆ สร้างความกลัว สร้างความกังวลแบบเดิมๆ อาจจะไม่พอที่จะมาพลิกคะแนนชัชชาติในรอบนี้ ด้วยเหตุปัจจัยทั้งตัวบุคคลและภาพลักษณ์ที่ชัชชาติ พยายามสลัดคราบเพื่อไทยให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ซึ่งตัวชัชชาติ เองก็ไม่ได้ขี้เหร่อะไร เป็นคนที่หวังได้ ที่น่าจะพอพึ่งพาอะไรได้ รวมถึงความเป็นขั้วแบบเดิมไม่ได้แบ่งเป็นสองสี แต่แบ่งเป็น 2 ฝั่งที่เป็นเฉด
- การเลือกตั้งสนามกทม.จะสะท้อนอะไรในการเลือกตั้งสนามใหญ่ที่จะเกิดขึ้นในวันข้างหน้าหรือไม่
ก็คงสะท้อน เพราะเรายังเห็นขั้วการเมืองที่ยังอยู่ เพียงแต่ว่าขั้วไม่เหมือนเดิม ไม่ใช่สองข้างที่แข็งปึ๊ก แต่เป็นขั้วที่ข้างในมีเฉดสี และเราอาจจะเห็นการข้ามขั้วเกิดขึ้น ถ้าเขาดูที่ตัวบุคคลแล้วพอไปได้ ก็ข้ามได้ไม่ได้ขึงตึงมากแบบช่วงก่อนปี 2557 ทั้งนี้เมื่อการเมือง 2 ขั้วเปลี่ยนรูปการเลือกตั้งใหญ่ในพื้นที่กทม.เราจะได้เห็นภาพหลายพรรคการเมืองแข่งกันมากกว่าที่ผ่านมาที่มีเพียงแค่ 2 พรรค และจะเห็นส.ส.เขตกทม.จากพรรคอื่นเพิ่ม
อีกเรื่องที่จะได้เห็นคือการสื่อสารทางการเมืองที่จะต้องมีการเปลี่ยนรูปแบบ วันนี้เห็นได้จากกรณี ชัชชาติที่มีการเปลี่ยนรูปแบบป้าย ซึ่งหากนึกถึงการมืองสมัยก่อน คนที่เป็นคนบุกเบิกการสื่อสารด้วยป้ายคือ ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่เอารูปตัวเองตาดูดาวเท้าติดดินมาแปะทั่วกรุงเทพฯ ซึ่งเป็นการสร้างกระแสะต่อเนื่องมาถึงการเลือกตั้งปี 2544 ที่มีป้ายหาเสียงพรรคไทยรักไทยทั่วประเทศ นั่นคือนวัตกรรมใหม่ใช้การสื่อสารด้วยป้าย
แต่วันนี้ชัชชาติ กำลังจะเปลี่ยนเกมตรงนี้ นี่คือส่วนของโจทย์ผู้ว่าฯ กทม. แต่โจทย์เลือกตั้งใหญ่ ไม่ใช่แค่นี้ เพราะทุกเขตมีคนแข่งกันหลาย 10 คน รวมถึงคะแนนปาร์ตี้ลิสต์อีก ถ้าจะเอาแบบชัชชาติ ที่ไม่มีป้ายจะทำได้หรือไม่ก็ไม่รู้ แต่ตอนนี้เขาต้องคิดแล้วการหาเสียงด้วยป้ายก็เป็นอีกตัวอย่างหนึ่ง การใช้โซเชียลมีเดียก็เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งจะใช้อย่างไร








