เมื่อวันที่ 19 มี.ค.65 นพ.มานัส โพธาภรณ์ รองอธิบดีกรมการแพทย์ เผยว่า การรักษาโควิด 19 ผู้เชี่ยวชาญมีการติดตามข้อมูลทั้งในประเทศและต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง และประชุมร่วมกันเพื่อปรับแนวทางการรักษาเป็นระยะตามหลักฐานเชิงประจักษ์ ล่าสุดได้ปรับปรุงแนวทางการรักษาไปเมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2565 และสัปดาห์หน้าอาจจะมีการปรับปรุงอีกครั้ง สำหรับยาฟาวิพิราเวียร์มีการใช้มาแล้ว 2 ปี ออกฤทธิ์โดยยับยั้งการเพิ่มจำนวนของไวรัส
จากการศึกษาพบว่า ผู้ป่วยที่ได้รับยาฟาวิพิราเวียร์มีอาการดีขึ้นเมื่อเทียบกับกลุ่มที่ไม่ได้รับยา โดยเฉพาะในช่วง 14 วัน ส่วนยาเรมดิซิเวียร์ มีกลไกการออกฤทธิ์ตำแหน่งเดียวกับยาฟาวิพิราเวียร์ ได้รับการรับรองจาก อย.สหรัฐฯ ให้ใช้ในภาวะฉุกเฉิน โดยให้ทางหลอดเลือดดำสำหรับผู้ที่รับประทานไม่ได้ มีปัญหาเรื่องการดูดซึมยา และใช้ได้ในหญิงตั้งครรภ์ จากการศึกษาวิจัยพบว่าผู้ป่วยมีอาการน้อยลง และช่วยลดการนอนโรงพยาบาลเมื่อเทียบกับกลุ่มที่รับยาหลอก
ส่วนยาอีก 2 รายการที่อยู่ระหว่างดำเนินการ คือ ยาโมลนูพิราเวียร์ กำลังเตรียมการกระจายยา กลไกออกฤทธิ์จุดเดียวกับยาฟาวิพิราเวียร์ ช่วยให้ผู้ป่วยลดความเสี่ยงการเกิดอาการรุนแรง และยาแพกซ์โลวิด กำลังดำเนินการจัดหาเข้ามา มีกลไกการออกฤทธิ์ที่เอนไซม์ทำให้เชื้อลดจำนวนลง ไม่สามารถเกิดผลกับโรคได้ ช่วยลดความเสี่ยงการนอนโรงพยาบาลลง 88% กรณีให้ยาภายใน 5 วันหลังมีอาการ คาดว่าจะเข้ามาในกลางเดือนเมษายนนี้
ซึ่งจากการติดตามการใช้ยามาสักระยะ พบว่าแต่ละตัวมีข้อดีข้อเสียแตกต่างกัน เช่น เรมดิซิเวียร์ช่วยกลุ่มอาการปานกลาง ใช้ได้ในหญิงตั้งครรภ์ ยาฟาวิพิราเวียร์ให้ได้ในหญิงตั้งครรภ์ไตรมาส 2 และ 3 แต่โมลนูพิราเวียร์และแพกซ์โลวิด มีข้อห้ามใช้ในหญิงตั้งครรภ์และให้นมบุตร รวมถึงเป็นยาใหม่จึงมีราคาสูงถึงคอร์สละ 1 หมื่นบาท ขณะที่ยาฟาวิพิราเวียร์ราคาคอร์สละ 800 บาท และเรมดิซิเวียร์ 1,512 บาท นพ.มานัสกล่าวในตอนท้าย