นายศักดิ์ชัย แตงฮ่อ อดีตนายอำเภอบางละมุง จ.ชลบุรี เจ้าของรางวัลนายอำเภอแหวนเพชร และอดีตรองอธิบดีกรมการปกครอง เปิดเผยการมาลงสมัครรับเลือกตั้งนายกเมืองพัทยาหนนี้ว่า ที่จริงแล้วหลังจบชีวิตข้าราชการระดับสูง ต้องบอกว่ามีความสุขและ Happy มาก แต่ที่มาลงสมัครเพราะมีความผู้พันกับพื้นที่อำเภอบางละมุงอย่างมาก ตั้งแต่สมัยยังทำงานเป็นนายอำเภอ ซึ่งได้สร้างผลงานไว้อย่างมากมายในด้านการแก้ไขปัญหาจนกระทั่งได้รับตำแหน่ง “นายอำเภอแหวนเพชร” จากนั้นจึงย้ายไปเป็น ผอ.สำนักกฎหมาย ซึ่งทำงานคล้ายผู้บัญชาการสอบสวนกลางในของกรมการปกครอง ซึ่งก็สร้างผลงานไว้มากมายเช่นกัน โดยจะเห้นได้ตามสื่อต่างๆสม่ำเสมอ สำหรับพื้นที่บางละมุงนี่ต้องอบกว่าเป็นเมืองหรือพื้นที่ที่ให้โอกาสได้ทำงานและสร้างชื่อเสียงให้เป็นอย่างมาก ดังนั้นหากไม่ได้มาอยู่ที่บางละมุง และทำงานจนเกษียณอายุราชการก็คงปล่อยให้ไปตามวิถีของข้าราชการหลังเกษียณทั่วไป แต่ขณะทำงานอยู่ในพื้นที่บางละมุง ตั้งแต่ปี 2524 ต้องบอกว่าพื้นที่นี้สร้างประสบการณ์มากมาย มีโอกาสใช้ความรู้ ความสามรถในการลงพื้นที่ดูแลแก้ไขประชาชนอย่างทั่วถึง เพราะมองว่าเมืองพัทยายังมีปัญหาหลายด้านที่ยังไร้การแก้ไขที่มีประสิทธิภาพ เลยอยากใช้ความรู้ความสามารถประสบการณ์เข้ามาแก้วิกฤติ เหมือนเป็นการตอบแทน “พื้นที่ที่มีความผูกพัน และรักที่อยากจะแก้ไขปัญหา” ถึงเวลานี้จึงพร้อมที่กลับมาเป็น “แม่ทัพ” ที่ทำให้เมืองพัทยากลับมายิ่งใหญ่กว่าเดิม โดยเฉพาะปัญหาวิกฤตทางเศรษฐกิจและความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชน ซึ่งมองเห็นแล้วรู้สึกเศร้าหมองมาก เพราะเมืองพัทยาเมืองที่เคยเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของโลกทุกวันนี้กลับเหมือนกับเมืองร้างไร้ผู้คน นายศักดิ์ชัย กล่าวต่อไปว่า อย่างแรกที่ต้องเร่งดำเนินการคือการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้ายังไม่ต้องไปคิดเรื่องอื่น และจะต้องรื้อฟื้นให้เมืองพัทยากลับคืนมาให้ได้ในระยะเวลา 2 ปี ที่พูดเช่นนี้ไม่ได้บอกว่าการท่องเที่ยวกลับมาเหมือนอดีต ซึ่งเป็นไปได้ในระยะเวลาอันใกล้ แต่จะทำอย่างไรที่จะพานักท่องเที่ยวในประเทศ ให้กลับมาท่องเที่ยวเพื่อทดแทนในสิ่งที่ขาดไปเสียก่อน ดังนั้นหากประชาชนเลือกตนเองเป็นนายกเมืองพัทยาจะขอรับปากว่าจะเปลี่ยนแปลงให้ได้โดยเร็ว เปรียบเสมือนเป็นเซลล์แมน ที่จะนำเมืองพัทยาไปขายเพื่อสร้างความเจริญในทุกด้าน ส่วนจะทำการตลาดอย่างไรนั้น สิ่งสำคัญคือโรงแรมชั้น 2 ชั้น 3 ชั้น 4 ทุกอย่างต้องได้มาตรฐานที่ต้องแก้ให้จบ นอกจากนี้ส่วนตัวแล้วมี Connection มากมายจากการทำงานข้าราชการระดับสูงจึงมีการประสานดึงงบประมาณมาจากกระทรวง ทบวง กรม ต่างๆ เพื่อดึงการฝึกอบรมเข้ามาในพื้นที่ ส่วนเมืองพัทยาเป็นเมืองพิเศษก็ต้องใช้กฎหมายพิเศษ ซึ่งมีกลไกวิธีการต่างๆที่สามารถแก้ไขบูรณาการได้ เพราะมีประสบการณ์และผ่านงานทางด้านกฏหมายมาอย่างโชกโชน เราจะมีการตั้งระบบการทำงานแบบ one stop service เพราะเมืองพัทยาไม่ใช่เฉพาะข้าราชการของเมืองพัทยาเท่านั้น สิ่งสำคัญคือต้องดูแลรับใช้พี่น้องประชาชน บอกเลยว่าทุกวันที่ 1 กับวันที่ 16 ของเดือนจะมีการจัดตั้งหน่วย one stop service ให้ชาวบ้านที่มีปัญหาสามารถเข้ามาติดต่อประสานงานได้ในทุกเรื่อง ที่เมืองพัทยาพร้อมจะแก้ไขให้ ดังนั้นหากได้เป็นนายกเมืองพัทยาประชาชนจะได้เห็นการบูรณาการท้องถิ่นทั้งหมด ให้มาทำกิจกรรมร่วมกันมีหลายอย่างที่เราเห็นเราอยากแก้ นายศักดิ์ชัย กล่าวต่อไปว่า กรณีที่ถามว่าทำไมถึงต้องมาลงสมัครครั้งนี้ มีจุดประสงค์อะไร บอกได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่า “ตอบมาแทนบุญคุณแผ่นดินแห่งนี้” ที่ทำให้ตัวเองประสบความสำเร็จในชีวิตราชการ เพราะหลังจากพ้นตำแหน่งนายอำเภอบางละมุง ต้องยอมรับว่ามีชื่อเสียงโด่งดังมาก โดยเฉพาะการได้รางวัล “นายอำเภอแหวนเพชร” ซึ่งเป็นความภาคภูมิใจว่ามันเกิดจากการทำงานที่ทุ่มเท และก็พร้อมที่จะทุ่มเทมากกว่านี้อีกถ้าพี่น้องประชาชนเลือกให้เข้ามาเป็นนายกเมืองพัทยา ซึ่งส่วนตัวมั่นใจว่ามีประสบการณ์ด้านเครื่องมือหรืองบประมาณ ที่มองออกมาจะเอามาใช้ยังไงให้มันตรงจุดตรงเป้าหมาย ในการแก้ปัญหาวันนี้ โดยไม่ได้เป็นนโยบายขายฝัน ทุกอย่างต้องจับต้องได้และนี่คือเจตนารมณ์ที่จะทำให้เกิดขึ้น “มีพี่น้องจำนวนมากถามว่าการมาลงสมัครครั้งนี้จะสู้เขาได้อย่างไร ด้วยระยะเวลากระชั้นชิดเสียงก็ไม่เคยหามาก่อน ก่อนหน้านี้ก็ไม่เคยเห็นหน้ามาเลย แต่หากมองว่าพัทยาทุกวันนี้มันเข้าขั้นวิกฤติ ดังนั้นการมาในครั้งนี้คือการเสนอตัวเข้ามาแก้ไข ด้วยมีความเข้าใจ เพราะเคยทำงานอยู่ที่นี่ ส่วนที่ถามว่าหากพี่น้องเขาให้โอกาสเป็นนายกเมืองพัทยา ก็ต้องตอบว่าจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงทันทีอย่างน้อยที่สุด ก็ต้องสนองตอบความต้องการของพี่น้องในเมืองพัทยาให้ได้โดยเร็ว เพราะหน้าที่คือการดูแลพี่น้องประชาชนเป็นหลัก” นายศักดิ์ชัย กล่าวอีก ว่าช่วงที่ผ่านมามีพรรคการเมืองต่างๆมาชักชวนให้เข้าอยู่ในทีมมากมาย แต่ได้ปฏิเสธไปเพราะหากทำงานใต้เงาของพรรคก็จะติดนโยบายต่างๆ ทั้งฐานคะแนน ฐานเสียง การแก้ไขปัญหาก็ไม่บรรลุผล จึงลงสมัครเพียงลำพังไร้ผู้สนับสนุนด้วยคิดว่าติดหนี้พี่น้องประชาชนชาวเมืองพัทยา ถ้าเขาอยากเลือกและพอใจนโยบาย เราก็พรอมทำงานให้เต็มที่แบบอิสระ งานก็เกิดโดยไม่ต้องเกรงใจใคร ดังนั้นหากเลือกตนเองเป็น “แม่ทัพ” ก็พร้อมจะเสียเสละทำหน้าที่ตอบสนองความต้องการของพี่น้องอย่างเต็มที่ ขณะที่แผน การหาเสียงนั้น เป็นการทำงานเพียงลำพังคงไม่มีทุนทรัพย์มากมาย มีแต่ความตั้งใจมี่มุ่งมั่นที่ต้องการตอบแทนบ้านเมืองเป็นหลัก แผนการประชาสัมพันธ์ส่วนใหญ่จึงคงจะเน้นไปที่สื่อโซเชียลเป็นหลัก ซึ่งคิดว่าจะเข้าถึงพี่น้องประชาชนได้อย่างกว้างขวาง +++++++++++