วันที่ 18 มี.ค.65 เมื่อเวลา 12.30 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. แถลงภายหลังการประชุม ศบค.ชุดใหญ่ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในฐานะผอ.ศบค.เป็นประธาน ว่า ปลัดกระทรวงสาธารณสุขได้รายงานสถานการณ์การแพร่ระบาดในประเทศไทย พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 27,071 ราย เป็นการติดเชื้อในประเทศ 26,919 ราย มาจากระบบเฝ้าระวังและระบบบริการ 26,826 ราย มาจากการค้นหาเชิงรุก 93 ราย มาจากเรือนจำ 103 ราย เป็นผู้เดินทางมาจากต่างประเทศ 49 ราย ทำให้มียอดผู้ติดเชื้อสะสมยืนยันตั้งแต่ปี 2563 จำนวน 3,303,169 ราย หายป่วยเพิ่มขึ้น 21,522 ราย ทำให้มียอดหายป่วยสะสมตั้งแต่ปี 2563 จำนวน 3,048,491 ราย อยู่ระหว่างรักษา 230,603 ราย อาการหนัก 1,391 ราย ใส่ท่อช่วยหายใจ 511 ราย เสียชีวิตเพิ่มขึ้น 80 ราย เป็นชาย ราย หญิง ราย เป็นผู้เสียชีวิตที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป ราย มีโรคเรื้อรัง ราย ทำให้มียอดผู้เสียชีวิตสะสมตั้งแต่ปี 2563 จำนวน 24,075 ราย ขณะที่สถานการณ์โลก มียอดผู้ติดเชื้อสะสม 466,472,159 ราย เสียชีวิตสะสม 6,087,899 ราย นพ.ทวีศิลป์ กล่าวว่า ในที่ประชุมได้มีการรายงานผลการดำเนิน เจอ แจก จบ ระหว่างวันที่ 1-13 มี.ค. มีจำนวนผู้รับบริการสะสม 207,534 ราย เฉลี่ยต่อวัน 15,964 ราย ส่วนใหญ่ผู้รับยาจะรับยาตามอาการ เช่น ยาลดไข้ ยาแก้ไข 52% ยาฟ้าทะลายโจร 24% ยาฟาวิพิราเวียร์ 26% ยืนยันว่าระบบของเรายังอยู่ได้ ถ้าอาการไม่มาให้ใช้ยาแก้ไข้ แก้ไอ นอกจากนี้ ยังมีการรายงานมาตรา USEP Plus ให้ที่ประชุมรับทราบว่า ผู้ป่วยสีเขียวจะให้รักษาที่บ้าน สถานแยกกักในชุมชน ฮอตพิเทล ซึ่งมีประมาณ 90% ผู้ป่วยสีเหลืองรักษาที่โรงพยาบาลสนาม โรงพยาบาลหลัก มีประมาณ 10% และผู้ป่วยสีแดง รักษาที่โรงพยาบาลหลัก มีจำนวนน้อยกว่า 1% นพ.ทวีศิลป์ กล่าวว่า ที่ประชุม ศบค.เห็นชอบการปรับระดับพื้นที่สถานการณ์ทั่วราชอาณาจักร โดยลดจำนวนพื้นที่ควบคุม (สีส้ม) จากเดิม 44 จังหวัด เหลือ 20 จังหวัด เพิ่มพื้นที่เฝ้าระวังสูง (สีเหลือง) จาก 25 จังหวัด เป็น 47 จังหวัด และเพิ่มพื้นที่นำร่องท่องเที่ยว (สีฟ้า) จาก 8 เป็น 10 จังหวัด และบางพื้นที่ใน 18 จังหวัด โดย 2 จังหวัดที่เพิ่มขึ้นมาคือ จ.เชียงใหม่ และเพชรบุรี ทุกพื้นที่ยังไม่ให้เปิดสถานบันเทิง ขณะที่พื้นที่สีส้มยังห้ามการบริโภคสุราและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในร้านอาหาร ส่วนพื้นที่สีเหลืองจำกัดเวลาบริโภคสุราและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในร้านอาหารไม่เกินเวลา 23.00 น. นพ.ทวีศิลป์ กล่าวว่า ในที่ประชุมยังมีการรายงานถึงแผนบริหารจัดการสถานการณ์ให้โควิด-19 เป็นโรคประจำถิ่น แบ่งเป็น 4 ระยะ ขณะนี้เราอยู่ในระยะที่ 1 คือ ต้องต่อสู้กับโรค ถ้าช่วงต้นเดือน เม.ย.เราช่วยกันอย่างดีจะเข้าสู่ระยะที่ 2 คือ ระยะทรงตัว จากนั้นตัวเลขจะค่อยลดลงตามการคาดการณ์ในปลายเดือน พ.ค. จนถึง 30 มิ.ย. ถ้าการคาดการณ์เป็นจริงวันที่ 1 ก.ค.เป็นต้นไป โควิด-19 จะกลายเป็นโรคประจำถิ่น ซึ่งนายกฯเห็นชอบตรงนี้ แต่แผนคือแผน ส่วนสถานการณ์จริงในวันที่ 1 ก.ค.จะเป็นอย่างไร คนกำหนดชี้วัดคือ ประชาชนทั้งประเทศ อย่างไรก็ตาม เป้าหมายการบริหารจัดการสถานการณ์โควิด-19 สู่โรคประจำถิ่นนั้น การเข้าถึงการดูแลรักษาได้อย่างรวดเร็ว อัตราการป่วยตายไม่เกินร้อยละ 0.1 มีการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นมากกว่าหรือเท่ากับ 60% สร้างความรับรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง และความร่วมมือประชาชนในการปรับตัว นพ.ทวีศิลป์ กล่าวว่า นอกจากนี้ ที่ประชุมรับทราบผลการให้บริการวัคซีนตั้งแต่วันที่ 28 ก.พ.64 -17 มี.ค.65 ในกลุ่มผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป เป้าหมายจำนวน 12,704,543 ราย ได้รับเข็มที่หนึ่งไป 10,587,376 ราย เข็มที่สอง 10,023,912 ราย และพบว่าได้รับวัคซีนเข็มกระตุ้นเพียง 4,125,226 ราย คิดเป็น 32.5% เท่านั้น ดังนั้น เรายังมีผู้สูงอายุหลักหลายล้านที่ยังไม่ได้รับวัคซีนเข็มกระตุ้น จึงขอให้เร่งตัดสินใจไปฉีดวัคซีน เพราะเมื่อถึงช่วงเทศกาลสงกรานต์0tเป็นช่วงที่มีภูมิคุ้มกันหลังการฉีดพอดี ยืนยันว่าวัคซีนเพียงพอแน่นอน เตรียมไว้กว่า 3 ล้านโดส โดยเราตั้งเป้าหมายให้ประชาชนได้ฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น 70% ก่อนเทศกาลสงกรานต์ นพ.ทวีศิลป์ กล่าวว่า ที่ประชุมยังเห็นชอบปรับมาตรการป้องกันโรคสำหรับการเดินทางเข้าราชอาณาจักร ในระบบเทสต์แอนด์โก และแซนด์บอกซ์ เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว จากเดิมที่ก่อนเดินทางมาจะต้องตรวจโควิด-19 ภายใน 72 ชั่วโมง แล้วมาตรวจแบบ RT-PCR ครั้งที่ 1 เมื่อเดินทางถึงประเทศไทย และตรวจแบบ ATK ในวันที่ 5 จะปรับเป็นไม่ตรวจก่อนเดินทางมา แต่จะตรวจตอนมาถึงประเทศไทย หากไม่พบเชื้อสามารถเดินทางท่องเที่ยวได้เลย และจะตรวจแบบ ATK อีกครั้งในวันที่ 5 โดยให้เริ่มวันที่ 1 เม.ย. ขณะเดียวกัน ยังได้หารือเรื่องวงเงินประกันที่ปัจจุบันอยู่ที่ 2 หมื่นเหรียญ อาจจะมีการปรับลดเงินประกันเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวในอนาคตด้วย นอกจากนี้ ที่ประชุมมีการหารือกันว่าหากสถานการณ์ดีขึ้นจะมีการพิจารณาเปิดด่านทางบกเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน โดยจะใช้เดือน พ.ค.เป็นหมุดหมาย ให้ทุกจังหวัดที่มีความพร้อมได้เตรียมการไว้ และประเมิน ซึ่งอาจจะเปิดกันได้ทุกที่ นพ.ทวีศิลป์ กล่าวว่า ที่ประชุมเห็นชอบมาตรการป้องกันโรคในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ซึ่งสามารถจัดได้ แต่ให้เป็นลักษณะประเพณีดั้งเดิม รดน้ำดำหัว หากจะจัดแบบสันทนาการต้องมีการขออนุญาต เพราะเป็นการรวมตัวของคนจำนวนมาก โดยมีข้อแนะนำ 3 ช่วง ได้แก่ 1.การเตรียมตัวก่อนร่วมงาน ผู้ที่จะกลับภูมิลำเนา และกลุ่ม 608 ต้องได้รับวัคซีนครบตามเกณฑ์ ประเมินความเสี่ยงของตนเอง หากพบมีอาการหรือเสี่ยงขอให้หลีกเลี่ยงเข้าร่วมงาน หรือตรวจ ATK ก่อนเดินทาง 2.ระหว่างช่วงสงกรานต์ สำหรับพื้นที่จัดงานสงกรานต์ที่มีการจัดเตรียมสถานที่และควบคุมกำกับ อนุญาตให้เล่นน้ำและจัดกิจกรรมตามประเพณี เช่น รดน้ำดำหัว สรงน้ำพระ การละเล่น การแสดงทางวัฒนธรรม ขบวนแห่ การแสดงดนตรี โดยปฏิบัติตามมาตรการโควิดฟรีเซตติ้ง แต่ห้ามประแป้ง ปาร์ตี้โฟม จำหน่ายและบริโภคแอลกอฮอล์ในพื้นที่จัดงาน ส่วนพื้นที่สาธารณะไม่มีการควบคุม เช่น ท้องถนน ห้ามเล่นน้ำ ปะแป้ง และปาร์ตี้โฟม และ 3.หลังกลับจากงานสงกรานต์ ให้สังเกตอาการตัวเอง 7 วัน หากสงสัยให้ตรวจ ATK พิจารณาเวิร์ก ฟรอม โฮมตามความเหมาะสม ทั้งนี้ นายกฯขอให้ดำเนินการตามมาตรการ ได้เน้นย้ำฝ่ายปกครอง ฝ่ายความมั่นคง ร่วมกับสาธารณสุขให้เข้มงวด ใครกระทำผิดฝ่าฝืนให้ดำเนินการเด็ดขาด นพ.ทวีศิลป์ กล่าวว่า ที่ประชุม ศบค.ยังเห็นชอบขยายระยะเวลาการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินออกไปอีก 2 เดือน เป็นคราวที่ 17 ระหว่างวันที่ 1 เม.ย. – 31 พ.ค.65