วันที่ 18 มี.ค.65 ที่ทำเนียบรัฐบาล นพ.อุดม คชินทร ที่ปรึกษาศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. ให้สัมภาษณ์ถึงการผ่อนคลายมาตรการช่วงเทศกาลสงกรานต์ว่า คงต้องผ่อนคลายมาตรการ และเราจะไม่ไปล็อกอะไรทั้งสิ้น เพราะสงกรานต์เป็นวัฒนธรรมไทยที่สำคัญ แต่ประชาชนต้องเข้าใจว่ายังอยู่ในสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 จึงต้องระมัดระวังตัวเอง นพ.อุดม กล่าวว่า สำหรับเทศกาลสงกรานต์อยากย้ำว่า วันนี้ผู้ติดเชื้อใหม่นิวไฮ 2.7 หมื่นคน และเสียชีวิต 80 ราย ปัจจัยที่สำคัญที่สุดคือเทศกาลสงกรานต์ แม้ขณะนี้จะติดเชื้อและไม่เจ็บป่วยรุนแรง แต่เราก็ไม่อยากให้กลับไปเหมือนสงกรานต์ปี 2564 ที่ไม่ล็อกดาวน์ทำให้ตัวเลขสูงขึ้นมาก จนลากยาวถึงสิ้นปี ทั้งนี้ เราต้องการจะกดตัวเลขผู้ติดเชื้อรายใหม่ไม่ให้เพิ่มขึ้น เพราะตามการคาดการณ์กลางปีนี้ตัวเลขผู้ติดเชื้อจะลงมาหลักพันต้นๆ แต่ตัวเลขจะไม่มีทางเป็นศูนย์ ซึ่งประชาชนต้องช่วยกัน เพราะกระทรวงสาธารณสุข และรัฐบาลทำเต็มที่แล้ว ขณะนี้ตัวเลขผู้ติดเชื้อยังเป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ คือประมาณ 3 หมื่นรายต่อวัน วันที่ 18 มีนาคม ติด 2.7 หมื่นราย ตนคิดว่าจะเพิ่มขึ้นอีก เราไม่อยากให้ยอดผู้เสียชีวิตขึ้นเลข 3 หลัก เพราะจะถือว่าเยอะเกินไป “ขณะนี้เรามาถึงทางแยกว่าจะให้การแพร่ระบาดโควิด-19 สิ้นสุดกลางปี 2565 ตามที่เราทำนายไว้หรือไม่ แต่ปัจจัยที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงคือเทศกาลสงกรานต์ หากเรากดตัวเลขไว้ไม่อยู่จนขึ้นไปสูง ก็จะลากยาวถึงสิ้นปี ทำให้การใช้ชีวิตลำบากและเศรษฐกิจไม่เดินหน้า ดังนั้น ประชาชนต้องให้ความร่วมมือ” นพ.อุดมกล่าว นพ.อุดมกล่าวว่า สิ่งที่อยากขอประชาชนในช่วงเทศกาลสงกรานต์ คือการรับวัคซีนเข็ม 3 เนื่องจากสถิติพบว่าผู้รับวัคซีน 2 เข็ม จะลดอัดตราการป่วยตายจากเชื้อโอมิครอนได้ 6 เท่า เมื่อเทียบกับผู้ไม่ได้ฉีดวัคซีน และหากฉีดวัคซีนจะลดอัตราการตายได้ถึง 41 เท่า เมื่อดูจากผู้เสียชีวิต 95-98% พบว่าเป็นผู้มีอายุเกิน 60 ปี และมีโรคประจำตัว อีกทั้งในจำนวนผู้เสียชีวิตมีถึง 60% ที่ไม่ได้รับวัคซีน และผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่จะอยู่ในต่างจังหวัดเพราะเข้าไม่ถึงระบบสาธารณสุข นอกจากนี้ ยังวิตกกังวลลังเลจะฉีดวัคซีน และคิดว่าเชื้อไม่รุนแรง จึงอยากให้ประชาชนได้รับวัคซีน นพ.อุดมกล่าวว่า ช่วงการเดินทางกลับภูมิลำเนาช่วงเทศกาล จะแบ่งเป็น 2 ส่วน คือปู่ย่าตายายที่อยู่ในต่างจังหวัดจะต้องฉีดวัคซีนก่อนที่ลูกหลานจะกลับไปเยี่ยม และลูกหลานที่จะกลับไปเยี่ยมจะต้องฉีดเข็ม 3 อย่างน้อย 2 สัปดาห์ก่อนเดินทาง เพื่อให้ภูมิขึ้น นอกจากจะช่วยไม่ให้เชื้อเข้าตัว ยังช่วยป้องกันกระจายไปสู่คนรอบข้าง และอยากให้ลูกหลานเก็บตัวอย่างน้อย 7 วัน พยายามไม่ออกไปไหนเพื่อลดความเสี่ยงให้ตัวสะอาดและป้องกันการรับเชื้อโดยไม่รู้ตัว โดยไม่ไปงานเลี้ยงสังสรรค์ หรือกินข้าวกับคนอื่น เพราะปัจจุบันการติดเชื้อมาจากการกินข้าวกับเพื่อนฝูง ทั้งนี้ยังต้องปฏิบัติตามมาตรการทางสาธารณสุขอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะการใส่หน้ากากอนามัยที่จะช่วยป้องกันการติดเชื้อได้มาก อีกทั้งอยากให้ตรวจเอทีเคก่อนกลับภูมิลำเนา เพื่อตรวจสอบตัวเองว่าไม่ติดเชื้อ หากพบว่าติดเชื้อก็อย่ากลับ แม้ว่าจะไม่มีอาการก็ต้องกักตัว เพราะขณะนี้ปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เกิดการระบาดมากขึ้นมาจากคนที่มีความเสี่ยงไม่ยอมกักตัวเอง เมื่อถามว่า จากการประเมินสถานการณ์ปัจจุบันจะสามารถเปิดสถานบันเทิง ผับ บาร์ คาราโอเกะ ได้หรือไม่ นพ.อุดมกล่าวว่า ผู้ประกอบการสถานบันเทิงก็ต้องเข้าใจว่าเราอยากให้เปิด แต่ต้องยอมรับว่าสถานบันเทิงอยู่ในบริบทที่มีความเสี่ยงสูง เพราะเป็นพื้นที่ปิด คนอยู่ใกล้ชิดกัน เมื่อดื่มแอลกอฮอล์ทำให้มีการตะโกนเสียงดัง หรือดื่มแก้วเดียวกัน “ความเห็นส่วนตัวจึงอยากให้ผ่านเทศกาลสงกรานต์ไปก่อน เราพิจารณาและเตรียมการอยู่แล้ว หากตัวเลขยังทรงตัวอยู่ถือว่าเป็นที่น่าพอใจ และอีก 2-3 เดือน ยอดติดเชื้อก็จะลดลง หากเราควบคุมทุกอย่างให้ดีช่วงเดือนกรกฎาคมไปแล้ว จะสามารถเปลี่ยนโควิด-19 มาเป็นโรคติดต่อทั่วไปเหมือนไข้หวัดได้” นพ.อุดมกล่าว