เข้าปท.Test&Go เลิกตรวจ RT-PCR ใน 72 ชม. ทั้งให้สวนสาธารณะเป็นที่แรกที่ไม่ต้องใส่หน้ากาก จัดกีฬา และคอนเสิร์ตได้ภายใต้มาตรการป้องกัน
เมื่อวันที่ 16 มี.ค.65 นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า สธ.ได้เตรียมเสนอมาตรการผ่อนคลายต่อที่ประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์โรคโควิด-19 (ศบค.) ชุดใหญ่ ในวันที่ 18 มี.ค.นี้ ด้วยขณะนี้การระบาดเป็นไปตามที่วางฉากทัศน์ไว้ว่า ช่วงกลางเดือน มี.ค.การติดเชื้อจะเริ่มชะลอตัว แต่จะไม่ลดลงฮวบ เนื่องจากมีการใช้มาตรการคล้ายการกั้นน้ำ ที่น้ำค่อยๆ เอ่อล้นและเริ่มลดลง สำหรับสายพันธุ์โอมิครอนข้อมูลจากนักวิชาการ โรงพยาบาล (รพ.) ศิริราช และต่างประเทศระบุว่า อยู่ในช่วงกลางๆ และกำลังจะเข้าขาลง เช่น ที่สหรัฐฯกำลังเริ่มลดลง เนื่องจากวัคซีนเพิ่มและเชื้ออ่อนแรง รวมถึงติดเชื้อมากขึ้น ประเทศเพื่อนบ้านอย่างมาเลเซีย ติดเชื้อมากกว่าไทยทั้งยอดสะสมและติดเชื้อใหม่รายวัน ดังนั้น เมื่อเทียบกับต่างประเทศแล้ว ประเทศไทยถือว่าอยู่ในสถานการณ์ที่ค่อนข้างดี
ทั้งนี้ การประชุม ศบค.ชุดใหญ่ในวันที่ 18 มี.ค.นี้ สธ.เตรียมเสนอผ่อนคลายมาตรการเข้าประเทศระบบ Test&Go เพื่อให้เกิดความคล่องตัวทางเศรษฐกิจ จากเดิมกำหนดว่า ผู้เดินทางจะต้องมีผลตรวจเชื้อเป็นลบด้วยวิธี RT-PCR ใน 72 ชั่วโมงก่อนเดินทาง และมาถึงแล้วให้ตรวจ RT-PCR ซ้ำอีกครั้งทันที จะเสนอไม่จำเป็นต้องตรวจ RT-PCR ใน 72 ชั่วโมง แต่ให้เหลือเพียงการตรวจครั้งเดียวเมื่อมาถึงไทย และตรวจ ATK เองซ้ำอีกครั้งในวันที่ 5 ของการเดินทาง ขณะที่วงเงินประกันสุขภาพผู้เดินทางจากเดิมกำหนด 5 หมื่นเหรียญสหรัฐ จะให้เหลือ 1 หมื่นเหรียญสหรัฐ ซึ่งได้คำนวณจากค่าเฉลี่ยการรักษาพยาบาล ด้วยขณะนี้โรคเบาลงแล้ว จากเดิมเฉลี่ยค่ารักษา 1 ล้านบาทต่อราย เหลือเพียง 2 หมื่นบาทต่อราย
นพ.เกียรติภูมิ กล่าวว่า นอกจากนี้ จะรายงานต่อ ศบค.ชุดใหญ่ ถึงแผนการปรับโรคโควิด 19 สู่โรคประจำถิ่น (Approach to Endemic) ซึ่งในช่วงปรับเข้าสู่โรคประจำถิ่น ต้องปรับกฎหมายให้เข้าสู่ระบบปกติ พ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน รัฐบาลเตรียมปรับเป็น พ.ร.บ.โรคติดต่อในภาวะฉุกเฉิน ทั้งนี้การจะทำให้โควิดเป็นโรคประจำถิ่น อาจต้องดูประกาศองค์การอนามัยโลก ซึ่งทั้งหมดต้องอยู่ในเงื่อนไขว่า ไวรัสไม่กลายพันธุ์รุนแรงเข้ามาอีก โดยจะต้องทำอย่างมีขั้นตอน ตั้งเป้าหมายว่า พื้นที่สวนสาธารณะจะเป็นแห่งแรกที่ไม่ต้องสวมหน้ากาก เพื่อให้ชีวิตกลับมาเป็นปกติ แต่ยังสนับสนุนให้สวมหน้ากากอยู่ โดยเฉพาะคนป่วย ส่วนกิจกรรมรวมกลุ่มก็อาจผ่อนคลายมากขึ้น เช่น กีฬา คอนเสิร์ต แต่ต้องมีมาตรการป้องกันไม่ให้เกิดคลัสเตอร์ใหญ่